posttoday

“ทำไมต้อง DCA?”

03 มกราคม 2565

การลงทุนแบบ DCA นั้น ไม่ใช่ว่า อยากจะลงทุนกองทุนไหน ก็ลงทุน เราต้องเลือกกองทุนที่ต้องการลงทุนก่อนว่า ต้องการลงทุนในกองทุนอะไร

การลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) ที่หลายๆ คน แนะนำให้เราลงทุนมีวิธีการยังไง แล้วเราต้องลงทุนแบบ DCA ด้วยเหรอ ถ้ามีเงินก้อนลงทุนทั้งก้อนทีเดียวเลยได้มั้ย แล้วถ้าตัดสินใจลงทุนแบบ DCA วิธีการคำนวณผลตอบแทนจะคำนวณยังไง ยุ่งยากหรือเปล่า บทความนี้มีคำตอบ

การลงทุนแบบ DCA นั้น ไม่ใช่ว่า อยากจะลงทุนกองทุนไหน ก็ลงทุน เราต้องเลือกกองทุนที่ต้องการลงทุนก่อนว่า ต้องการลงทุนในกองทุนอะไร นโยบายแบบไหน อยากจะลงทุนด้วยจำนวนเงินลงทุนเท่าไหร่ และทุกวันอะไร ซึ่งแน่นอนว่า จะลงทุนทุกวันอะไรก็ต้องเลือกวันที่มีเงินเข้ามาอยู่แล้วใช่มั้ยคะ การลงทุน แบบ DCA มีข้อดีตรงที่เราไม่ต้องมาจับจังหวะการลงทุน ว่าวันนี้ลงทุนได้หรือยัง ลงทุนวันนี้แล้วถ้าพรุ่งนี้ราคาตกลง เราจะเสียใจมั้ยว่าต้นทุนที่ได้ควรจะถูกลง รู้งี้ รออีกวันค่อยลงทุนจะดีกว่า การลงทุนแบบ DCA จะช่วยตัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปได้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะพะว้าพะวงว่า จะลงทุนวันไหนดีนะ วันนี้ราคาลดลงแล้ว พรุ่งนี้น่าจะลดลงอีก สุดท้ายก็รอไปเรื่อยๆ รอวันที่ราคาลดต่ำที่สุดถึงจะได้ลงทุน ซึ่งก็ไม่รู้ว่า วันไหนของสัปดาห์ หรือวันไหนของเดือน หรือจะเป็นวันไหนของทั้งปี

ส่วนเมื่อลงทุนไปแล้ว จะคำนวณผลตอบแทนยังไงล่ะ เพราะที่ผ่านมา เคยลงทุนเป็นก้อนครั้งเดียวเลย เมื่อถึงเวลาที่อยากขายคืน ก็ขายคืนทั้งก้อน เท่ากับมีเงินต้นและกำไรอยู่ในก้อนเดียวกัน คิดกันง่ายๆ ว่า กำไรกี่ % ก็คือ การนำจำนวนเงินที่ขายคืนได้มาตั้ง หักด้วยเงินลงทุน และหารเงินลงทุนอีกครั้ง จากนั้นก็หารจำนวนวันทั้งปี และคูณจำนวนวันที่ลงทุนก็จะได้เป็น % ยกตัวอย่างเช่น ลงทุนเมื่อวันที่ 2/1/2020 จำนวนเงินลงทุน 120,000 บาท ได้หน่วยลงทุนจำนวน 7,901.3386 หน่วย (ต้นทุนต่อหน่วย 15.1873 บาท) แล้วมาขายคืนวันที่ 30/12/2020 ได้เงินจำนวน 163,705.46 บาท เมื่อคำนวนเป็น % เท่ากับ (((163,705.46-120,000)/120,000)/362)x365 วัน = 36.72%

“ทำไมต้อง DCA?”

แต่ถ้าไม่มีเงินก้อน และตั้งใจจะลงทุนแบบ DCA วิธีการคำนวณก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ถ้าทำด้วย EXCEL จะง่ายนิดเดียวเลยค่ะ ยกตัวอย่างการลงทุนตามตารางด้านล่างนี้นะคะ

“ทำไมต้อง DCA?”

วิธีการคำนวณใช้ XIRR คำนวณค่ะ ซึ่งจะแตกต่างจากการคำนวณ IRR เริ่มงงแล้วใช่มั้ยคะ ที่ต่างกันนั่นเป็นเพราะว่า เราใช้วันที่ลงทุนมาคำนวณด้วย เพราะเวลาที่เราลงทุนไม่ใช่วันเดียวกันทุกครั้งนั่นเอง ดังนั้น สิ่งสำคัญจะต้องมี คือ วันที่ที่ลงทุนหรือขายคืน (Column A) รวมถึง จำนวนเงินที่ลงทุนหรือที่ขายคืนค่ะ (Column D) เวลาที่เราลงทุนเงินออกจากกระเป๋าเราก็ใส่ตัวเลขติดลบ ส่วนวันที่เราขายคืนได้เงินคืนกลับมาก็เป็นบวก (Values = D2:D14, Dates = A2:A14, Guess 0.1)

จากตารางข้างต้น จะเห็นว่า แม้ว่าจะลงทุนด้วยเงินลงทุนจำนวน 120,000 บาท เท่ากับการลงทุนครั้งเดียว แต่ผลตอบแทนที่ได้รับไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะว่า ต้นทุนที่ได้ในแต่ละครั้งไม่เท่ากัน และระยะเวลาที่เงินแต่ละก้อนทำงานก็ไม่เท่ากันนั่นเองค่ะ ซึ่งการทำ DCA 1 ปี ในกองทุนนี้ ให้ผลตอบแทนสูงถึง 57.79% ในขณะที่ลงทุนเพียงครั้งเดียวด้วยเงินต้นเท่ากัน ได้ผลตอบแทนเพียง 36.72% แม้ว่าต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของการทำ DCA จะสูงกว่าก็ตาม (120,000/7,460.4994 = 16.0847บาทต่อหน่วย) แต่ก็อย่าลืมค่ะว่า เราไม่ได้ใช้เงินจำนวน 120,000 บาทลงทุนตั้งแต่ต้นปี แต่เราทยอยลงทุนครั้งละ 10,000 บาท เป็นเวลา 12 ครั้งใน 1 ปี ซึ่งเงินก้อนแรกก็ทำงานมานาน 12 เดือน แต่เงินก้อนสุดท้ายทำงานได้ไม่ถึงเดือน ก็ขายคืนทั้งหมดออกไปแล้ว

แต่ถ้าเปรียบเทียบผลกำไรจากตัวอย่างข้างต้น ก็แน่นอนค่ะว่า การลงทุนแบบเงินก้อนครั้งเดียวได้กำไรมากกว่า นั่นเป็นเพราะใช้เงินก้อนใหญ่ ทำงานนาน 12 เดือนเต็ม ผิดกับการทยอยลงทุนแบบ DCA และการลงทุนในครั้งนี้ได้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่ายังไงล่ะคะ

เห็นแบบนี้แล้ว เชื่อเหลือเกินค่ะว่า ใครที่มีรายได้สม่ำเสมอ ไม่ได้มีเงินก้อนที่สามารถลงทุนได้ครั้งเดียว ก็อยากจะหันมาลงทุนแบบ DCA กันแล้วค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้เรามีวินัยในการลงทุนแล้ว ยังช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจในระยะยาวได้ด้วยนั่นเอง รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมลงทุนแบบ DCA กันนะคะ

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1