posttoday

พลังเปิด vs พลังเงียบ

11 พฤศจิกายน 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

***************

ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณท่านที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ศ.ดร. อรุณ ภานุพงศ์ ที่เขียนในบทความที่แล้ว ผู้เขียนต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ และขอแก้ไขเพิ่มเติมบางคนเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์มากขึ้น ผู้เขียนขอน้อมรับความผิดพลาดที่อาจจำเรื่องราวที่ท่านกรุณาเล่าให้ฟังได้ไม่หมด

( ก ) ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะเขียนถึงตอนที่ท่านลงจากรถไฟ แล้วเดินไปเรื่อย ๆ ดูนั่นดูนี่แบบคนที่ไม่เคยเข้ากรุง จนถึงวัดสามปลื้ม จนถูกมองว่า คล้ายกับคนเดินแบบกะเซอะกะเซิงเหมือนคนเร่ร่อนทำนองนั้น ความจริงไม่ใช่

( ข ) ท่านไม่ได้เดินไปเรื่อย ๆ แต่เป้าหมายของท่านคือวัดสามปลื้มที่มีหลวงลุงบวชเป็นพระที่นั่น โดยบิดามารดาของท่านสั่งให้ไปอยู่กับหลวงลุงเพื่อคอยปรนนิบัติและเรียนต่อ ต่อมาท่านได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนบพิตรพิมุข ซึ่งสอนชวเลข หนึ่งในวิชาที่ท่านสนใจเป็นพิเศษ

( ค ) ท่านใช้เวลาพักกลางวันทุกวันเข้าห้องสมุดเพื่ออานหนังสือ เพราะท่านชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินกินข้าว แต่ท่านชอบพูดสนุก ๆ กับเพื่อนว่าที่เข้าห้องสมุดเพราะไม่มีเงินกินข้าว ท่านไม่ได้ยากไร้ถึงกับไม่มีเงินกินข้าวกลางวัน

จบเรื่องนี้ไว้ก่อน ต่อไปจะเป็นบทความที่ตั้งใจว่าจะเขียนในสัปดาห์นี้

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มีการสร้างประเด็น “ ความแตกต่างระหว่างวัย” บ้าง “ สงครามระหว่างเจนเนอเรชั่น ” บ้าง “ สงครามระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ “ บ้าง ผลิตโดยนักการเมืองรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่ง

โดยนำเอาความแตกต่างในการรับรู้ ความเข้าใจ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาใช้ประโยชน์ และผลิตคำพูดที่เร้าใจ ให้เป็น “สงครามระหว่างรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่” หรือระหว่างคนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ กับคนรุ่นเจนวาย เจนแซ่ด โดยใช้อายุเป็นตัวกำหนด

สร้าง “ สงครามความคิดระหว่างคนแก่ กับลูกหลาน “ ทำนองว่า ถ้ารุ่นหนึ่งอยู่ได้ อีกรุ่นหนึ่งก็อยู่ไม่ได้ คำว่า “อยู่” ในที่นี้ หมายถึงอยู่ทางการเมือง หรือมีบทบาททางการเมือง

คนที่วางแผนให้เกิดขึ้น เป็นคนรุ่นอายุ 40 บวกลบ ที่มีความสำเร็จในชีวิต ( จากพื้นฐานครอบครัวร่ำรวยเป็นปัจจัยสนับสนุน ) เป้าหมายคือคนรุ่นอายุ 19-30 ปี ที่อยู่ในวัยแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น การงานมั่นคง รวยเร็ว คนวางแผนต้องการชัยชนะทางการเมืองเพื่อแสดงบทบาท เป็นแนวหน้าในการสร้างสังคมใหม่ และทำลาย “สิ่งล้าหลัง “ ที่พ่อแม่ปูย่าตายาย พี่ป้าน้าอา สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะความเชื่อทางการเมือง ขนบประเพณี วัฒนธรรม

ความเห็นต่างทางความคิดระหว่างคนรุ่นพ่อแม่ปูย่าตายาย กับคนรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกยุคสมัย และเกิดการประสานความคิดกันระหว่างของเก่าและของใหม่ แต่ “ ความขัดแย้ง” และ “สงครามความคิด” ครั้งนี้ ดูเหมือนคนคิดจะไม่มีแนวคิดประนีประนอม ต้องหักล้างกันถึงที่สุด

ลักษณะของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่อดทน อ่านหนังสือเกินกว่า 18 บรรทัดไม่ได้ ดังนั้น คำปลุกเร้า คำโฆษณาชวนเชื่อต้องไม่เกินนี้ ที่สำคัญคือ ต้องใช้คำที่กระตุ้นต่อความรู้สึก อ่านแล้วขนลุกซู่ ตองลุกขึ้นเต้นผางทันที ผู้นำไปทางไหนไปด้วย ( แต่ถ้าจะพาลงนรกตกเหว หรือพาไปติดคุก ก็คงไม่เอาด้วย

วาทกรรมแปลกใหม่ เร้าใจ ที่ลอกคนอื่นมาแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรมสวยหรูจากนวนิยาย ภาพยนตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ฯลฯ ทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ ว่าด้วยประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน สิทธิในร่างกาย ฯลฯ ดูเป็นเรื่องที่เร้าใจคนหนุ่มสาว เด็กรุ่นใหม่ ในระยะแรก แต่เวลานี้ กลายเป็นของเก่าซ้ำซาก ล้าสมัยไปหมดแล้ว

สิทธิทางร่างกายถูกนำมาอ้างเพื่อไม่ฉีดยากันโควิด 19 เด็กนักเรียนหญิงอ้างเพื่อไม่ยอมตัดผมสั้นตามระเบียบโรงเรียน เด็กหญิงคนหนึ่งถึงกับอ้างว่า ตนจะหากินกับของติดตัวมาแต่กำเนิด ใครมาห้ามไม่ได้เพราะนี่คือสิทธิในร่างกายของเธอ นักเรียนบางคนไม่ยอมร้องเพลงชาติโดยอ้างว่าเป็นสิทธิที่จะร้องหรือไม่ร้องก็ได้ ไม่ยอมแต่งกายตามระเบียบ ในที่สุด ก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 99 มีการยุแหย่ให้เลิกพิธีไหว้ครู โดยอ้างว่าล้าหลัง แต่นักเรียนร้อยละ 99 ไม่เอาด้วย

เธอศึกษาสิทธิเสรีภาพเพียงด้านเดียว แต่ไม่ได้ศึกษาว่า เสรีภาพไม่ได้เสรีจนไร้ขอบเขต แต่มีขอบเขตจำกัดเพื่อประโยชน์ของการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมที่คนหมู่มากอยู่ร่วมกัน

นักการเมืองรุ่นใหม่และแนวร่วมท้าทาย “ ความรู้สึก “ ของคนไทยด้วยการขอแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 116 และมีพฤติกรรมท้าทายต่อความรู้สึกของประชาชนทั่วไปผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่คนเหล่านี้เปิดตัวออกมาอย่างเปิดเผยทั้งในสภาและนอกสภา ทำให้คนไทยผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

สามปีที่ผ่านไปเพียงพอที่จะทำให้คนไทย รวมทั้งคนรุ่นใหม่ ได้ตระหนักรู้ว่า ควรจะเชื่อพรรคนี้ต่อไปหรือไม่อย่างไร อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ยังมีคนเจนวาย เจนแซด กลุ่มหนึ่งที่บอกวายังเชื่อมั่นและจะเลือกพรรคนี้ต่อไป ไม่ใช่ว่าศรัทธา แต่พรรคการเมืองอื่นแย่กว่า

สามปีก่อน คนหนุ่มสาวผู้ที่ศรัทธาในพรรคคนรุ่นใหม่ยอมรับว่า พร้อมจะเดินตาม ผู้นำไปไหน จะตามไปด้วย แต่วันนี้ คนกลุ่มเดียวกันบอกว่า ถ้าผู้นำไปไหน ขอคิดก่อนว่าจะเดินตามหรือไม่ แสดงว่าคนรุ่นนี้เริ่ม “ รู้ทัน” ความคิดและการกระทำของนักการเมืองรุ่นใหม่กลุ่มนี้มากขึ้น

คนเจนวาย เจนแซด โดยเฉพาะพวกที่จะมีสิทธิออกเสียงครั้งแรกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป กลายเป็นกลุ่มคนที่พรรคการเมืองต่าง ๆ แย่งคะแนนกันเพื่อไปเพิ่มคะแนนบวกกับฐานเสียงเดิมจากคนรุ่นก่อนซึ่งเป็นฐานพรรคการเมืองหนึ่งใดเป็นการเฉพาะแล้ว ขณะที่ภาพลักษณ์ของพรรคที่เคยได้คะแนนจากคนหนุ่มสาวเริ่มมีปัญหา เพราะฉะนั้น พรรคคนรุ่นใหม่ที่คิดว่าจะได้เสียงสนับสนุนล้นหลามแบบเก่าคงไม่ได้อีกแล้ว

อีกทั้งวิธีการเลือกตั้งใหม่ก็เปลี่ยนไปจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ที่เคยได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งครั้งที่แล้วต้องทบทวนยุทธศาสตร์และยุทธวีธีกันใหม่

ล่าสุด คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สรุปว่า แกนนำม็อบสามคนที่เสนอปฏิรูปการปกครองในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อ 10 สิงหาคม 2563 เป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง ขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 49 วรรค 1 ส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อ “ คณะการเมือง” และ “ พรรคการเมือง “ ที่เกี่ยวข้อง และแนวร่วม ( ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเดียวกันเพียงแต่แยกกันเคลื่อนไหวนอกและในสภา) และคงจะมีการฟ้องร้องขยายผลจากคำวินิจฉัยนี้อีกหลายยก อีกทั้งอาจมีคนติดคุกเพราะคำพูดและการกระทำที่มัดคอตัวเองจนดิ้นไม่หลุด หลายคนมีคดีความติดตัวชนิดที่ต้องขึ้นศาลจนแก่ตาย ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการ “ปฏิวัติ” มากกว่า “ปฏิรูป” ดังปรากฏในคำพูดและข้อเขียนในหลายโอกาส บางทีก็มีการเล่นลิ้นว่า “ปฏิรูปแบบปฏิวัติ” ซึ่งคงเพ้อถึงการปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาแบบการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789

แนวร่วมคนหนุ่มสาวทั้งกลุ่มทะลุฟ้า ทะลุแก๊ส และอีกหลายทะลุ ที่ “ห้าวเกินงาม” ที่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 116 นั้น มีข้อหาติดตัวคนละหลายคดี ซึ่งมีโอกาสติดคุกสูง ไมคุ้มกับเงินที่ “มือลึกลับ” โอนเข้ามาในบัญชี คณะการเมืองและพรรคการเมืองที่อยู่เบื้องหลังก็คงช่วยอะไรไม่ได้

มหาอำนาจต่างชาติที่อยู่เบื้องหลังก็คงช่วยอะไรไม่ได้ คนหนุ่มสาวเหล่านี้คงไม่มีขีดความสามารถจะเอาอย่างนักการเมืองหลบหนีออกไปตามช่องทางธรรมชาติแล้วไปขอลี้ภัยในต่างประเทศ นอกจากติดคุกไป ส่วนต่างชาติก็ปั้นคนใหม่ขึ้นมาเป็นเหยื่อแทน

ณ วันนี้ คนที่ออกเสียงเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2562 ต้องมาทบทวนว่า พรรคที่ตนออกเสียงให้เมื่อครั้งที่แล้วได้ทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชนบ้าง สามปีที่ผ่านมาน่าจะมากพอที่จะบอกได้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เขาควรจะเลือกพรรคเดิมหรือเลือกพรรคใหม่ หนุ่มสาวที่เพิ่งจะมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก ต้องพิจารณาให้รอบคอบ อย่าไปหลงเชื่อเรื่อง “ความขัดแย้งระหว่างรุ่น” ที่บางพรรคการเมืองพยายามปลุกระดม เพราะไม่ว่ารุ่นไหนก็คนไทยเหมือนกัน ครอบครัวไทยเดียวกัน แต่ควรเตรียมตัวเลือกคนดีมีความสามารถเข้าไปเป็นตัวแทนทำงานแทนเรา (ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย) ในสภา

*****************

ข่าวล่าสุด

KBANK ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เงินฝาก 0.05-0.10%