คนไทยต้องอยู่กับน้ำท่วม ฝนแล้ง
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
*************
หัวข้อที่คนไทย โดยเฉพาะคน กทม. ที่พูดคุยกันขณะนี้ เป็นเรื่องน้ำท่วม บางคนวิตกและเกรงไปว่า สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้จะรุนแรงเหมือนกับปี 2554 หรือไม่อย่างไร น้ำจะท่วม กทม.เหมือนกับปี 2554 หรือไม่ เพื่อเตรียมตัวรับมือได้ถูก วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับ น้ำท่วมและภัยแล้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย
ประเทศไทยกับน้ำท่วม ฝนแล้ง เป็นเรื่องปกติ เพราะการที่ประเทศตั้งอยู่ในเขตมรสุม ก็ต้องมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเป็นของธรรมดา และมีมานานแล้ว บรรพบุรุษของเราจึงสร้างบ้านใต้ถุนสูง เมื่อน้ำท่วมก็ไปอยู่บนบ้าน พอหน้าแล้ง ก็หลบลมร้อนมาทำกิจกรรมอยู่ใต้ถุนบ้าน คนชนบทชินกับชีวิตอย่างนี้มาโดยตลอด ย้ำใต้ถุนบ้านในชนบทยังกั้นเป็นคอกวัวคอกควาย หรือทำเป็นเล้าไก่ได้อีกด้วย
การที่เกิดภัยแล้งหรือภาวะน้ำท่วมมากขึ้นในหลายสิบที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการอาหารก็เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการน้ำทั้งน้ำกิน้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตร เพื่อทำไร่ทำนาทำสวน แต่การที่คนมีจำนวนเพิ่มขึ้น ก็ต้องบุกเบิกที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของฝนลดลง ฝนก็ตกน้อยลง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล
ประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุม เพราะฉะนั้น ในแต่ละปี เราจะประสบกับพายุหลายลูก แต่ละลูกก็นำน้ำมาให้ไทยมากบ้างน้อยบ้าง ในพื้นที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ “ พายุใต้ฝุ่น” ( พายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกว่า ใต้ฝุ่น ) จากมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อก่อตัว บางทีก็พัดขึ้นเหนือไปยังเกาะไหหลำ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น ส่วนที่พัดผ่านเวียดนาม ลาว มายังไทยนั้น จะปะทะกับภูเขาในเวียดนาม ลาว พอถึงเมืองไทยก็ลดความรุนแรงลง จากลมพายุก็เหลือฝนตกหนัก ทำให้เมืองไทยมีน้ำเพื่อการกินการใช้ และการเกษตรตลอดปี
ในต้นปี พายุจากมหาสมุทรแปซิฟิกจะพัดเข้าทางภาคเหนือของไทย ไล่ลงมาตะวันออกเฉียงเหนือ ฝนฟ้าตกไม่เฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น แต่ยังคลุมมายังภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกของไทยด้วย แต่ละเดือนที่ผ่านไป พายุจะค่อย ๆ พัดลงมาใต้ จากตะวันออกเฉียงเหนือ ก็มาทางตะวันออกเฉียงใต้ พอปลายปีก็ลงไปทางใต้ผ่านอ่าวไทย เพราะฉะนั้น ฤดูฝนในไทยจึงแตกต่างกันไประหว่างพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ กับภาคใต้
นอกจากพายุจากมหาสมุทรแปซิฟิคและทะเลจีนใต้แล้ว ในแต่ละปี ยังมี “พายุไซโคลน” จากมหาสมุทรอินเดีย ( พายุในมหาสมุทรอินเดีย เรียกว่า ไซโคลน แต่หน้าตาและความรุนแรงก็คล้ายกับไต้ฝุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก ) จังหวัดทางตะวันตกของไทยจะได้ฝนจากไซโคลนนี้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนักเพราะปะทะกับแนวเขาทางชายแดนตะวันตก พอข้ามเขาเข้าไปภายใน พายุก็อ่อนแรงแล้ว
ปริมาณของน้ำฝนตกแต่ละปีมากมาย ปัญหาคือเราเก็บกักไว้ได้เพียงกี่เปอร์เซ็นต์ในแต่ละปี เราสร้างเขื่อน ๆ ต่าง ๆ เพื่อกักเก็บน้ำในฤดูฝนไว้ใช้ในฤดูแล้ง ทั้งน้ำกิน น้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตร ส่วนที่ตกนอกเขื่อนก็ซึมลงเป็นน้ำใต้ดิน โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งเป็นดินปนทราย พอถึงหน้าแล้งแต่ละปี ทางการเจาะบ่อบาดาลกันเพื่อเอาน้ำใต้ดินมาใต้ บ่อบาดาลที่เจาะกันตื้น ๆ นั้น แต่ละปีก็ต้องมาเจาะกันดี จนกล่าวกันว่า แผ่นดินอีสานแทบจะพรุนไปด้วยบ่อบาดาล สมัยก่อนก็เจาะกันได้ทุกปี แต่ระยะหลัง มีการเจาะทำน้ำประปา น้ำกิน น้ำใช้แบบถาวร
เมื่อพูดถึงการกักเก็บน้ำแบบชาวบ้าน ทำให้คิดถึงนโยบายของ นายพิศาล มูลศาสตร์สาธร หรือ “ปลัดฮิ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ให้ประชาชนแต่ละครัวเรือนในภาคอีสานสร้างโอ่งขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำในฤดูฝน และใช้เป็นน้ำกินได้ตลอดฤดูแล้ง ใช้น้ำในการหุงข้าวก็ได้
ในแต่ละปี เราสูญเสียน้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตร ไปปีละหลายร้อยหลายพันล้านลูกบาตเมตร น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาแต่ละปีไหลลงทะเลไปปีละเท่าไร น้ำจากแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขง ไหลลงทะเลแต่ละปีไม่รู้เท่าไร อย่างไรก็ดี ระยะหลัง จีนและลาว มีการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงมากขึ้นทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้าและการชลประทาน ส่วนแม่น้ำสาละวินไหลลงทะเลอย่างน่าเสียดายโดยแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก เวลานี้ ไทยผันน้ำส่วนหนึ่งจากแม่น้ำสาละวินมาเติมข้าอ่างภูมิพล กักไว้ใช้ในหน้าแล้ง เพื่อปล่อยให้กับเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำ
ไทยเคยมี “ โครงการ โขง ชี มูล” ซึ่งมีวัตถุประสงค์กักเก็บน้ำจากแม่น้ำโขงที่ไหลล้นเข้ามาในแม่น้ำชี แม่น้ำมูล เก็บไว้ในเขื่อนเพื่อไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้ง ให้เกสรกรได้กินได้ใช้ ไม่ทราบว่า โครงการดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้ก่อนสร้างหรือไม่ ขนาดไหน
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า จากการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โรงงานปล่อยควันพิษและความร้อนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลก ทำให้ “ โลกร้อน “ขึ้น พอถึงฤดูฝน ฝนตกหนักขึ้น พายุมากขึ้นและรุนแรงขึ้น น้ำท่วมมากขึ้น เกิดความเสียหายทั้งชีวิตทรัพย์สินและผลผลิตการเกษตร พอถึงหน้าแล้ง ก็แล้งมากขึ้น กระทบต่อผลผลิตการเกษตรอีก
พายุ ฝนตก น้ำท่วม ทำให้คิดถึงคำพูดที่ฮิตมาก 3 คำ คือ “ โลกร้อน “ “ ความมั่นคงด้านอาหาร “ และ “ความมั่นคงแห่งมนุษย์” ซึ่งเป็นคำที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยมีความสำคัญไม่น้อยกว่า “ ความมั่นคงแห่งรัฐ “
พรรคไหนขึ้นมาเป็นรัฐบาล ใครเป็นนายกรัฐมนตรี แผนงานแต่ละปีก็เตรียมไว้ได้เลย คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ผู้ว่าราชการจังหวดแต่ละจังหวัดเตรียมวางแผนไว้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง ภายในจังหวัด เตรียมบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
น้ำท่วม ฝนแล้ง เป็นเรื่องของ “ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม” และ “ความมั่นคงด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติ “ โลกที่ร้อนขึ้น ก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น
เวลานี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้ามาก มีการส่ง “ ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา” หลายดวงจากประเทศต่าง ๆ ขึ้นไปโคจรอยู่บนท้องฟ้า ที่สามารถบอกล่วงหน้าได้ละเอียดแทบเป็นวินาที ตั้งแต่การก่อตัวของพายุ เส้นทางการเดิน จนกระทั่งสลายตัว ทำให้ประเทศต่างๆ สามารถเตรียมตัวรับมือและลดความสูญเสียลงได้ล่วงหน้าหลายวัน
สหรัฐอเมริกาเจอพายุเฮอริเคน ( ชื่อเรียกพายุที่เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติค ) และทอร์นาโด ( พายุหมุนบนแผ่นดิน ) ปีละหลายลูก สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากมาย
ซึ่งเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติประการหนึ่งที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่สามารถสกัดกั้นได้ มีข่าวว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เคยสั่งให้นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ยิงแสงเลเซอร์ เพื่อสลายเฮอริเคน ก่อนพัดขึ้นฝั่งอเมริกาซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินในแต่ละปี แต่นักวิทยาศาสตร์อเมริกันยอมรับว่า เลเซอร์ยังไม่มีขีดความสามารถที่จะสลายศูนย์กลางของพายุได้
ถ้าวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าถึงขนาดยิงเลเซอร์หรือใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำลายศูนย์กลางพายุได้ มนุษย์คงส่งดาวเทียมสังหารขึ้นไปในอวกาศเพื่อยิงทำลายศูนย์กลางของพายุต่าง ๆ ในโลก ให้สลายตัวลดความรุนแรง กลายเป็นเพียงฝนตกหนักธรรมดา เพราะมนุษย์ยังต้องการน้ำฝนเพื่อกินเพื่อใช้และเพื่อกาเกษตร
พายุไม่ว่าจะเรียกว่าใต้ฝุ่น ทอร์นาโด หรือเฮอริเคน แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นยักษ์สึนามิ เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถป้องกันได้ สิ่งที่มนุษย์ทำได้ คือ ลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นด้วยการอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย แล้วค่อยมาฟื้นฟู ซ่อมแซมบ้านเรือน ฯลฯ ที่เสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้
น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย เราต้องอยู่กับมัน แต่ทำอย่างไรจะไม่ให้มันเป็นอันตรายกับเราจนเกิดไป ทำอย่างไร เราจะใช้ประโยชน์กับมันได้มากที่สุด
ตบท้ายสำหรับบทความนี้ที่มีคนกรุงหลายคนวิตกว่า น้ำท่วมปีนี้จะรุนแรงเหมือนกับปี 2554 หรือไม่ กรมชลประทานยืนยันแล้วว่า สามารถบริหารจัดการน้ำท่วมได้ ปริมาณน้ำปีนี้ไม่มากเท่ากับปี 2554 เพราะปีนี้ จนถึงขณะนี้มีพายุเพียงลูกเดียวเท่านั้น ในขณะที่ปี 2554 มีพายุ 5 ลูกที่มวลน้ำทางเหนือไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด แต่ปีนี้ มีน้ำเพียงก้อนเดียวที่ไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนที่เหลือ ทางอีสาณก็ไหลลงแม่น้ำชี มูล ภาคกลางไหลลงแม่น้ำยม ทุ่งบางระกำ แม่น้ำป่าสัก เขื่อนป่าสัก บึงบอระเพ็ด ทุ่งลพบุรี เขื่อนป่าสักยังรับน้ำได้อีกมาก
สมมติว่า หากปริมาณน้ำเท่ากับปี 2554 น้ำคงไม่ท่วมดอนเมืองและท่วม กทม.เหมือนปี 2554 เพราะปีนั้น มีข่าวว่า แม้แต่สหประชาชาติยังสรุปว่า เป็นเพราะการบริหารจัดการน้ำผิดพลาด
เพื่อนที่สมุทรปราการเล่าให้ฟังว่า เทศบาลสมุทรปราการได้ระบายน้ำลงทะเลจนคลองแห้งหมดแล้วเพื่อเตรียมรองรับน้ำที่จะระบายมาจากกรุงเทพ แต่ไม่มีน้ำมาเลย น้ำกลับไปทางตะวันตกแทน มาตรการระบายน้ำลงทะเลผ่านทางตะวันออกของ กทม.ที่ได้วางแผนไว้และทำมาทุกปี ไม่ได้ถูกใช้เหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมานอกเหนือจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากนั้น รัฐบาลต้องเตรียมฟื้นฟูและชดเชยความเสียหายจากน้ำท่วมคราวนี้ด้วย ขณะเดียวกัน ก็เตรียมรับมือกับภัยแล้งปีหน้าซึ่งบอกไม่ได้ว่าจะรุนแรงหรือไม่ มากน้อยเพียงไร และฝนจะมาเร็วหรือไม่
สุดท้าย เราต้องทำใจที่จะอยู่กับภัยแล้งและน้ำท่วม โดยรัฐบาลต้องหาทางที่จะลดความเสียหายให้น้อยที่สุด และฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร (จบ)


