posttoday

รำลึก กปปส. กับม็อบมวลมหาประชาชนครั้งสุดท้าย (1)

27 มีนาคม 2564

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

******************

ม็อบก็เหมือนกับการตัดไม้ที่คิดว่าเป็นต้นไผ่ แต่พอเหลาลงไปก็กลายเป็นบ้องกัญชา

ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ชอบไปม็อบ จำได้ว่าตอนที่เรียนอยู่ในชั้น ม.ศ. 2 ที่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ ใน พ.ศ. 2515 มีเพื่อนมาบอกว่ามีม็อบของนักศึกษามาประท้วงอยู่ข้างทำเนียบรัฐบาล พอดีโรงเรียนอยู่ใกล้ ๆ ทำเนียบ เพียงแค่เดินข้ามสะพานมัฆวานรังสรรค์ที่อยู่ข้าง ๆ โรงเรียนก็ถึงรั้วทำเนียบแล้ว ม็อบครั้งนั้นเป็นม็อบต่อต้านการซื้อสินค้าญี่ปุ่น พอกลับมาโรงเรียนก็ชวนเพื่อน ๆ อีกหลายคนไปหาซื้อชุดนักเรียนที่ทำด้วยผ้าฝ้ายมาใส่แทนผ้าโทเรของญี่ปุ่นที่ยึดครองตลาดอยู่ในตอนนั้น มีความรู้สึกว่าโก้มาก ๆ เดินยืดอกอยู่หลายวัน ด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นผู้รักชาติ ทั้งที่ความจริงแล้วม็อบในครั้งนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะโค่นล้มรัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งมาระเบิดขึ้นในปีต่อมา ซึ่งก็เหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516นั่นเอง

ผู้เขียนคิดว่าเยาวชนในยุคนี้ก็คงไม่ต่างกับเยาวชนในยุคก่อน ๆ ที่ผู้เขียนเติบโตมา เพียงแต่สภาพสังคมแวดล้อม เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร อาจจะแตกต่างกัน เพราะในสมัยก่อนไม่มีโซเชียลมีเดียและสื่ออิเล็คโทรนิคต่าง ๆ แต่ด้วยสื่อหลัก ๆ ที่อย่างหนังสือพิมพ์ กับวิทยุและโทรทัศน์ ก็เพียงพอที่จะเร่งเร้าให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น รวมถึงการกระตุ้นให้เกิดความสนใจทางการเมือง และเข้าไปร่วมในกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ

โดยสิ่งหนึ่งที่เยาวชนในทุกยุคสมัยน่าจะมีเหมือน ๆ กันก็คือ ความห่วงใยในอนาคตของตัวเอง จนทำให้เยาวชนจำนวนหนึ่งมองว่าการเมืองการปกครองของประเทศนั้นคือ “สะพานสู่อนาคต” ของพวกเขา แต่ด้วยเหตุที่มีทหารถือปืนมายืนจังก้าขวางอยู่ตั้งแต่หัวสะพาน ทำให้พวกเขาคิดว่านี่คืออุปสรรคของการก้าวไปสู่อนาคตของพวกเขา จำเป็นต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และเดินก้าวข้ามไปให้ได้

ในตอนต้นเดือนตุลาคม 2516 มีข่าวว่าตำรวจจับคนที่ไปเดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ทำให้มีการเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาเหล่านั้น แล้วก็นำไปสู่การชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการประกาศงดการสอบกลางภาค เอากุญแจไปล็อคห้องสอบในมหาวิทยาลัย พร้อมกับประกาศเชิญชวนให้ผู้คนที่ส่วนใหญ่ก็คือเยาวชนในสถานศึกษาต่าง ๆ ให้ไปร่วมชุมนุม ผู้เขียนพอได้ข่าวครั้นเลิกเรียนในตอนบ่ายวันที่ 11 ตุลาคม ก็ไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กะว่าจะแวะไปดูม็อบแบบ “ชิล ๆ” เพราะทราบว่ามีวงดนตรีเพื่อชีวิตไปเล่นที่นั่นหลายวง

แต่ก็นั่งอยู่ในสนามฟุตบอลที่เป็นที่จัดชุมนุมอยู่ทั้งคืน ซึ่งก็เป็นเพราะการปราศรัยของผู้นำในการชุมนุมหลายคน ที่จำได้ก็คือเสกสรร ประเสริฐกุล กับเสาวนีย์ ลิมมานนท์ ที่สามารถ “เผาอารมณ์” ของผู้ฟังได้อย่างมีพลัง โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับความเหลวแหลกของระบอบ “ถนอม ประภาส ณรงค์” ที่จะนำไปสู่หายนะของบ้านเมือง ที่รวมถึงอนาคตของเยาวชนที่มาร่วมชุมนุมกันเป็นส่วนใหญ่นั้นด้วย

พอตอนเช้าวันที่ 12 ตุลาคม โฆษกบนเวทีก็ประกาศหาอาสาสมัครที่จะช่วยกันเตรียมขบวนที่จะเดินออกสู่ถนนราชดำเนิน ผู้เขียนอาสาไปช่วยทำป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ คือในสมัยนั้นยังไม่มีร้านรับทำป้ายไวนีล รวมถึงการพิมพ์แบบที่เรียกว่า “ซีร็อกซ์” ก็มีราคาแพงมาก (ทำสำเนาเอกสารหน้าเดียวราคา 3 บาท เท่ากับก๋วยเตี๋ยว1 ชามในสมัยนั้น) จึงต้องใช้มือเขียนกันสด ๆ ผู้แม้ไม่ได้เรียนมาทางศิลปะ แต่วิชาวาดเขียนพื้นฐานในโรงเรียนก็พอใช้ได้ คือการขยายแบบลงบนกระดาษ แล้วแรเงาแบบง่าย ๆ แล้วพวกพี่ ๆ ที่เรียนมาทางศิลปะจะมาช่วย “เก็บงาน” ในภายหลัง

จนถึงเช้าวันที่ 13 ก็เขียนได้หลายภาพ รู้สึกเพลิดเพลินมาก เพราะได้ฟังปราศรัยไป ช่วยทำภาพไป ทั้งยังได้รู้จักคนอีกหลายคน ที่ช่วยทำให้รู้สึกว่าการทำงานเพื่อส่วนรวมเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ซึ่งคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราก็สามารถทำได้ เพื่อไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ร่วมกันนั้น (สำหรับรายละเอียดของเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม2516 จะไม่ขอเล่าให้ยืดยาว ณ ที่นี้ เพราะสมัยนี้มีกูเกิ้ลช่วยรวบรวมไว้ให้ค้นคว้าได้อย่างสะดวกสบายแล้ว)

ที่ปูพื้นเรื่องประสบการณ์ม็อบของผู้เขียนเมื่อเกือบ 50ปีที่ผ่านมา จนดูเหมือนว่าจะเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ฟังนี้ ก็เพื่อจะเชื่อมโยงให้เห็นว่าพอถึงสมัย “ม็อบยุคใหม่” ที่น่าจะเริ่มมาในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ทีบางคนเรียกว่า “ม็อบมือถือ - ม็อบดาวเทียม” เพราะมีการติดตามและแจ้งข่าวสารกันผ่านเครือข่ายมือถือ รวมถึงการถ่ายทอดข่าวสารสาธารณะผ่านดาวเทียม ทำให้ “การปิดกั้นสื่อ” อย่างที่ระบอบเผด็จการชอบกระทำเกิดใช้ไม่ได้ จึงทำให้ม็อบที่เคยถูกเร้าระดมผ่านการสื่อสารแบบใหม่นี้มีอานุภาพมากกว่าการสื่อสารผ่านตัวบุคคลและกิจกรรมการเมืองแบบเดิม ๆ

ซึ่งพอยิ่งมาถึงยุคของการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2549 กับการชุมนุมของ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ กปปส. ใน พ.ศ.2556-2557 ก็ยิ่งมีลักษณะที่ลึกลับซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะ “การจัดการม็อบ” ที่หมายถึง การแสดงออกของม็อบ ที่มีเป้าหมายและกิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้น จนมองเห็นได้ยากว่าม็อบจะดำเนินไปและสิ้นสุดลงอย่างไร ที่สามารถนำมาอธิบายม็อบเยาวชนในขณะนี้ที่กำลัง “วุ่นวาย” อยู่อย่างมากนี้ได้อีกด้วย

ในสัปดาห์หน้าจะเล่าให้ฟังว่า ม็อบ กปปส.ที่หลาย ๆ คนและรวมทั้งตัวผู้เขียนได้เข้าไปร่วมด้วยนี้ ไม่ได้เป็นอย่างที่หลาย ๆ คนคาดคิดว่าจะเป็น โดยเฉพาะไม่ได้คิดว่ามันจะจบลงแบบนั้น ดังที่ได้ขึ้นบรรทัดแรกของบทความนี้ไว้ว่า “ม็อบก็เหมือนกับการตัดไม้ที่คิดว่าเป็นต้นไผ่ แต่พอเหลาลงไปก็กลายเป็นบ้องกัญชา” ซึ่งผู้เขียนต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า อาจจะไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงนั้นเสียทั้งหมดแต่ก็เป็นข้อวิเคราะห์ที่ควรจะมีการถกเถียงต่อไป(แบบวิทยานิพนธ์ฉาวของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่) เพื่อค้นหาความจริงที่ว่า “อะไรคือปัจจัยและผู้กระทำที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย” โดยเฉพาะการทำรัฐประหารของทหาร จนถึงขั้นที่กำลังจะร่วมมือกับนักการเมืองและคนบางกลุ่มครอบครองประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

ที่บางคนเชื่อว่าทหารกระทำไปด้วยความ “จำใจ” แต่บางคนบอกว่า “ด้วยความจงใจ” มากกว่า

*******************************

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2