posttoday

ติดตามการประชุม กนง. และคำแถลงของโพเวลและเยลเลนต่อสภาคองเกรส

22 มีนาคม 2564

คอลัมมันนี่วีก (Money… week) โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, พินทุ์ณาดา กิตติวาณิชย์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-31.10 ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะยังคงติดตามแนวโน้มการฉีดวัคซีน และความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสรอบที่ 3 ในหลายประเทศ ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจหลักในยุโรปจะกลับมาฉีดวัคซีนแอสตราเซเนก้าอีกครั้ง ด้านปัจจัยตลาดโลก โพเวล ประธานเฟด และเยเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ จะแถลงนโยบายการเงินการคลังต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ ด้านยุโรปจะมีการประชุมสุดยอดเช่นกันถึง 26 มีนาคมนี้ ส่วนในเอเชีย ธปท. และธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีกำหนดประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ โดยตลาดประเมินว่าธนาคารกลางทั้งสองแห่งจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ไทยจะประกาศตัวเลขการส่งออกระบบศุลกากรด้วย

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวทรงตัวในกรอบ 30.65-30.80 ตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก ในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ใกล้ศูนย์และคงวงเงินซื้อสินทรัพย์ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนตามเดิม ขณะที่มองเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น ด้าน Dot plot ยังส่งสัญญาณว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำใกล้ศูนย์ไปอย่างน้อยถึงปี 2023 เช่นเดิม ทั้งนี้ เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงในช่วงปลายสัปดาห์สอดคล้องกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นหลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.75% เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 นื่องจาก เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชะลออัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ ตลาดประเมินความเป็นไปได้ที่เฟดจะใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อกดอัตราผลตอบแทนระยะยาวลง อาทิ Operation Twist หรือ Yield Curve Control ทำให้เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.83 (เวลา 16.30 น.)

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบมากกว่า 1ปี โดยทะลุระดับ 1.70% โดยประเด็นสำคัญคือผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงคงวงเงินมาตรการซื้อสินทรัพย์ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนติดตามมากกว่าคือการออกประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ย ณ ระดับปัจจุบันไปจนถึงสิ้นปี 2023 ซึ่งผลการประชุมดังกล่าวทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวโดยมีความชันสูงขึ้น (Steepening) กล่าวคือการดำเนินนโยบายของเฟดในการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะยังกดดันให้พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นขึ้นได้อย่างจำกัด ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวยังคงถูกกดดันจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวมากขึ้นจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ส่งผลให้ความแตกต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2ปีกับ 10ปี (UST 2-10Y Spread) ปรับตัวกว้างขึ้นมากกว่า 150 bps หรือ spread ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบเกือบ 6 ปี

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวโดยที่เส้นอัตราผลตอบแทนมีความชันสูงขึ้น ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับตัวลดลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวทรงตัวใกล้เคียงกับระดับปิดในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ประเด็นในประเทศที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย ในวันที่ 24 มีนาคม 2564 ว่าจะมีมุมมองในการกำหนดนโยบายการเงินอย่างไร ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะยังคงมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ไว้เช่นเดิม โดยณ วันที่ 19 มีนาคม 2564 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.49% 0.55% 0.73% 1.15% 1.55% และ 1.97% ตามลำดับ

ติดตามการประชุม กนง. และคำแถลงของโพเวลและเยลเลนต่อสภาคองเกรส

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลเข้าจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิประมาณ 3,051 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 421 ล้านบาท ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 3,495 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 23 ล้านบาท

ข่าวล่าสุด

นครชัยแอร์ ผนึก NEX ชิงดีลรถเมล์ไฟฟ้า ขสมก. 1,520 คัน มูลค่า 1.53 หมื่นล้าน