posttoday

การระบาดโควิด-19 และท่าทีของ ธปท. การแข็งค่าเงินบาทในประชุม กนง.

21 ธันวาคม 2563

คอลัมน์ มันน่ี่วีก (Money week) โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่าเงินบาทมีปัจจัยสนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าโดยประเมินกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ 29.60-30.00 พัฒนาการของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลหนาวและเทศกาลปีใหม่ แม้ว่าจะเริ่มการฉีดวัคซีนในหลายๆ ประเทศแล้ว ยุโรปจะพิจารณาเพื่ออนุมัติใช้วัคซีน Pfizer ในวันจันทร์ ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ สหรัฐฯ มีกำหนดประกาศจีดีพีไตรมาส 3 ประกาศครั้งสุดท้ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีของจีนระยะ 1 ปีและ 5 ปีที่คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้านไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีกำหนดประชุมนโยบายการเงินในวันพุธ แม้จะไม่ได้คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ แต่จำเป็นต้องติดตามท่าทีของ ธปท. ต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าลงอย่างรวดเร็วช่วงนี้และแนวโน้มมาตรการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท โดยเฉพาะหลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กำหนดให้ไทยอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังการเป็นผู้แทรกแซงค่าเงินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งนี้ ธปท. จะทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อปี 2020 และปี 2021 ด้วย

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาที่ระดับแข็งค่าหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ จากเงินดอลลาร์ที่เคลื่อนไหวอ่อนค่าต่อเนื่อง ตามภาวะ Risk-on จากทั้งความหวังการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเริ่มกระจายวัคซีนของ Pfizer และแนวโน้มอนุมัติวัคซีนของ moderna ในสหรัฐฯ โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่ากับสกุลเงินหลักทั้งหมดหลังจากโพเวลแถลงหลังการประชุมนโยบายการเงินว่าเฟดจะขยายเวลามาตรการสนับสนุนสภาพคล่องดอลลาร์และตลาดตราสารหนี้ต่อเนื่องไปถึงกันยายน 2021 ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากหลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกรายงานประเทศที่แทรกแซงค่าเงิน ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนาม เนื่องจากละเมิดเกณฑ์ 3 ข้อ ได้แก่ เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แทรกแซงค่าเงินเกินกว่า 2% ของจีดีพี และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 2% ของจีดีพี (อ้างอิงข้อมูล 12 เดือนย้อนหลังสิ้นสุดมิถุนายน 2020) นอกจากนี้ ไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศใหม่ที่เข้ากลุ่มเฝ้าระวังการแทรกแซงซึ่งเข้าเกณฑ์ 2 จาก 3 ข้อ ทำให้นักลงทุนมีการคาดการณ์ว่า ธปท. อาจลดระดับการเข้าแทรกแซงค่าเงินในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าเพิ่เลี่ยงการถูกกำหนดเป็นผู้แทรกแซงค่าเงิน โดยเงินบาทปิดตลาดที่ 29.775 (วันศุกร์ เวลา 16.45 น.)

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากประเด็นเรื่องความหวังของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ใกล้เป็นรูปธรรม ทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับสู่โหมดเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง รวมถึงส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ ปรับตัวโดยมีความชันสูงขึ้น ขณะที่ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ตลาดเฝ้าติดตามความชัดเจนจากเฟดในเรื่องของขนาดและช่วงเวลาต่อมาตรการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งเฟดได้ให้คำมั่นว่าจะคงขนาดมาตรการซื้อสินทรัพย์ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนอย่างต่อเนื่องจนกว่าการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อจะบรรลุเป้าหมายสำหรับความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุ โดยพบว่าพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับตัวลดลงมาก โดยมีสาเหตุหลักจากความไม่สมดุลกันระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาดพันธบัตรรัฐบาล กล่าวคือมีพันธบัตรรัฐบาลที่ออกประมูลจำนวนน้อยกว่าพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดไถ่ถอน ประกอบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่สภาพคล่องมีอยู่สูงมากในระบบการเงินเป็นแรงผลักดันให้เกิดอุปสงค์มากกว่าอุปทานในตลาดพันธบัตร ซึ่งท้ายสุดแล้วส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับตัวลดลงไปซื้อขายต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่มากและกระทบมายังพันธบัตรรัฐบาลที่อายุยาวขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่เมื่อมองไปที่ตารางประมูลพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่เหลือของปีนี้ พบว่าไม่มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอีก ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะจำกัดการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลได้ ทำให้ ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2563 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.41% 0.42% 0.52% 0.66% 0.91% และ 1.30% ตามลำดับ

การระบาดโควิด-19 และท่าทีของ ธปท. การแข็งค่าเงินบาทในประชุม กนง.

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมมูลค่าสุทธิประมาณ 3,633 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 1,324 ล้านบาท ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 4,793 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 164 ล้านบาท