ม็อบชานม vs ม็อบโอเลี้ยง
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
*************
ช่วงนี้ มีการพูดถึง “ม็อบชานม” บ่อยครั้ง เริ่มต้นจากบทความภาษาอังกฤษที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียล โดยผู้เขียนใช้หัวข้อจากเครื่องดื่มที่หนุ่มสาวในฮ่องกง ไต้หวัน ไทย สิงคโปร์ นิยมดื่ม ซึงเราจะเห็นคนหนุ่มสาวก่อนจะเข้าที่ทำงาน หรือเดินไปธุระที่ไหนก็จะถือแก้วพลาสติค มีหลอดดู เป็นเครื่องดื่มมประเภทชาเย็นใส่นม สีชมพู หรือนมเย็น ในไต้หวัน ก็มีชาไข่มุกที่คนไทยเลียนแบบนำมาขายให้กับวัยรุ่น จึงเรียกกันรวม ๆ ที่คนไทยเอามาแปลว่า “ชานม” ซึ่งดูน่ารักดี
เป็นความพยายามที่จะรวมบุคลิกของม็อบวัยรุ่นในฮ่องกง ใต้ไหวัน ไทย และสิงคโปร์ ไว้ด้วยกัน เพราะอย่างน้อยคนฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ก็เป็นคนจีน ส่วนม็อบในไทย โดยเฉพาะแกนนำที่จำนวนไม่น้อยมีเชื้อสายจีน
ม็อบชานมในฮ่องกงเวลานี้ขยับตัวไม่ออกแล้ว แกนนำทั้งหลายหน้าจ๋อยไปตามๆ กัน โจชัว หว่อง ก็เคลื่อนไหวไม่ออก คาดว่า เขาคงเดินทางไปอยู่กับพ่อในอเมริกาในไม่ช้า ส่วนพรรคพวกที่เหลือก็สู้ชะตากรรมในฮ่องกงเอาเอง
ในสิงคโปร์นั้น จะหาม็อบสักกลุ่มยากมากเพราะรัฐบาลฮ่องกงตั้งแต่สมัยลีกวนยูจนปัจจุบันคุมเข้ม ขยับไม่ออก อีกทั้งคนหนุ่มสาวที่นั่นคงไม่คิดเคลื่อนไหวเพราะพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ในประเทศ
ในไต้หวัน การเคลื่อนไหวเป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลไทเปกำหนด เป็นม็อบที่ไม่ได้มุ่งกระทำต่อรัฐบาลไทเป แต่เป็นม็อบที่รัฐบาลไทเปสนับสนุนเพื่อโจมตีกล่าวหารัฐบาลปักกิ่งโดยตรง ไทเปสนับสนุนม็อบฮ่องกง ให้ก่อความวุ่นวายแบบเทียนอันหมึน แต่ไม่สำเร็จ เมื่อม็อบฮ่องกงหมดสภาพ ม็อบไต้หวันก็ไม่รู้จะทำอะไร
จะเหลือก็แต่ม็อบหนุ่มสาวไทยแลนด์เท่านั้น อาจกล่าวได้ว่า ม็อบชานมได้เคลื่อนย้ายจากฮ่องกงมาเมืองไทยแล้ว เมืองไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางม็อบวัยรุ่น โดยมหาอำนาจต่างชาติที่เคยสนับสนุนม็อบฮ่องกงจะมาหนุนม็อบชานมไทยแลนด์แทน
ม็อบชานมในไทยที่ใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆในการกระจายข่าวและรวมพลได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นเยาวชนคนรุ่นหนุ่มสาวมีสายสัมพันธ์กับบางกลุ่มการเมือง โดยได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักการเมืองรุ่นใหม่บางคนได้ไปศึกษาดูงานและเคยพบปะกับแกนนำม็อบฮ่องกงมาก่อนมาก่อน
ม็อบฮ่องกงเป็น “ม็อบในเมือง” ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว ซึ่งมีจำนวนพอ ๆ กัน เป็นคนกำลังศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หรือระดับมัธยมปลาย รวมทั้งคนที่เพิ่งทำงาน มีทั้งชายและหญิงจำนวนพอๆ กัน อายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20-30 ปี ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง และเคยร่วม “ปฏิวัติร่ม ปี 2559” มาแล้ว ความกังวลระยะยาวน่าจะอยู่ที่หนุ่มสาวฮ่องกงห่วงใยในอนาคตของตนเอง โดยเฉพาะการประกอบอาชีพ ค่าใช้จ่าย ค่าที่พักที่สูงมาก ชีวิตต้องแข่งขันกันสูง นี่คือปัญหาท้องถิ่นของคนหนุ่มสาวฮ่องกง ส่วนกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนน่าจะเป็นชนวนเฉพาะหน้า
คนหนุ่มสาวฮ่องกงเติบโตมากับเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ พวกเขาจึงเก่งในการใช้สื่อโซเชียลผ่าน “ แพลตฟอร์มออนไลน์” ต่างๆ เป็นสื่อกลางในการกระจายข้อมูลข่าวสารและการระดมพล ซึ่งทำได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง ใช้สร้างแรงกดดันจากต่างประเทศ ม็อบฮ่องกงได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากสหรัฐ อังกฤษ โดยแกนนำก็หวังที่จะไปเรียนต่อ ทำงานต่อในสหรัฐ
ม็อบอ่องกงได้รับการสนับสนุนจากเต็มที่จากสหรัฐและอังกฤษที่ได้เปิดหน้า “ชน” กับปักกิ่งเต็มที่ โดยใช้มาตรการและกลไกต่าง ๆ กดดันรัฐบาลจีน แต่พอรัฐบาลจีนเอาจริง ประเทศเหล่านี้ก็เงียบไป และคงไปหาช่องทางอื่นในการกดดันจีนแทน
เมื่อม็อบฮ่องกงเริ่มใช้ความรุนแรง นั่นคือจุดพ่ายแพ้ของม็อบ ทางการอ่องกงหนุนโดยรัฐบาลจีนใช้มาตรการทางกฎหมายในระดับของการปราบจลาจล ทางการปักกิ่งได้ประกาศมาตรการที่เข้มงวด เอาจริง จับกุมแกนนำม็อบไปหลายคน จนม็อบฮ่องกงสลายตัว รวมกันไม่ติด
ม็อบเมืองไทยมีหลายอย่างที่คล้ายกับม็อบฮ่องกง อาทิ เป็นม็อบของคนหนุ่มสาวนักศึกษามหาวิทยาลัย นักเรียนชั้นมัธยม ที่สามารถเคลื่อนไหวจัดตั้งได้กว้างขวางในหลายจังหวัดทั่วประเทศ (ในขณะที่อ่องกงเป็นเกาะเล็ก ๆ เกาะเดียว) ข้อเรียกร้องก็มีลักษณะคล้ายกัน แม้สภาพแวดล้อมไม่ค่อยเหมือนกันนัก
ข้อเรียนร้องหลายอย่างของม็อบไทยน่าเลียนแบบมาจากม็อบฮ่องกง ( เพราะคนอยู่ข้างหลังม็อบไม่ชอบคิดเอง แต่มักลอกเลียนคนอื่น ) เช่น “ ปลดแอกฮ่องกง การปฏิวัติในช่วงของเรา” ในไทยกลายมาเป็น “เยาวชนปลดแอก” และพัฒนาเป็น “ประชาชนปลดแอก” คำว่า “การปฏิวัติในช่วงของเรา” คล้ายกับของไทยที่ว่า “ให้มันจบในคนรุ่นเรา” การขับไล่นางแครี่ หล่ำ (หัวหน้าผู้บริหารฮ่องกง ซึ่งมีสถานะคล้ายกับนายกรัฐมนตรีฮ่องกง) ก็คล้ายกับเรียกร้องให้ “นายกรัฐมนตรี (ประยุทธ์) ลาออก” “ การปฏิรูปประชาธิปไตย “เป็นประเด็นที่ “ต้องมี” และเป็น “ธีม” ที่พรรคฝ่ายค้านไทยใช้ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง การเรียกร้องให้แก้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งเป็นต้นเหตุของม็อบในฮ่องกง ก็คล้ายกับการเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญของม็อบไทย
“หยุดคุกคามประชาชน” เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ม็อบฮ่องกงและม็อบไทยใช้เพื่อ “ขู่” ไม่ให้เจ้าหน้าที่จับกุม คุมขัง ม็อบฮ่องกงห่วงใย “อนาคตของพวกเขา” ในขณะที่พรรคการเมืองหนุ่มสาวของไทยพยายามโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นว่า อนาคตของประเทศเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวเท่านั้น คนแก่ตายไป คนหนุ่มสาวอยู่ต่อ ดังนั้น ต้องให้คนหนุ่มสาวกำหนดอนาคตของเขาเอง “ทุกอย่างต้องจบในคนรุ่นเรา” ฯลฯ โดยไม่ประนีประนอมกับคนรุ่นก่อนที่สร้างชาติมา
คล้ายกับม็อบฮ่องกง ม็อบวัยรุ่นเมืองไทยใช้ “ออนไลน์ แพลตฟอร์ม” โดยเฉพาะทวิตเตอร์ รวมทั้งเกมทางสื่อโซเชียลเป็นเครื่องมือในการแสดงออก จุดกระแส ส่งสารไปยังวัยรุ่นคนหนุ่มสาวในระดับมหาวิทยาลัยและนักเรียนมัธยม ในการชุมนุม แสดงพลัง อย่างได้ผลตลอดมา แกนนำม็อบในไทยก็ใช้วิธีการเดียวกัน โดยเฉพาะการรวมกลุ่มโดยเร็วและสลายโดยเร็วแบบ “ แฟลช ม็อบ”
การกำหนดหัวข้อหรือประเด็นเคลื่อนไหว ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดมากและคิดใหม่ แต่ลอกเลียนมาจากเนื้อหา ภาษา กิริยาท่าทางในภาพยนตร์ต่างประเทศบางเรื่องที่โดนใจวัยรุ่น เช่น ล่าสุด เอามาจากเกม “แฮมทาโร่” ซึ่งโดนใจวัยรุ่น การสื่อความหมายด้วยคำพูด ภาพ การกระทำที่ “โดนใจวัยรุ่น"
จังหวะเวลาที่จะปล่อยข้อมูลออกมาให้วัยรุ่นดู เป็นเรื่องสำคัญ เช่น ในช่วงเวลาพักกลางวัน หรือช่วงเวลาเลิกเรียน ที่วัยรุ่นจะเช็คโทรศัพท์มือของตน หรือวัยหนุ่มสาวที่เลิกงานเวลา 5 โมงเย็น จะดูโทรศัพท์มือถือ ทั้งขณะยืนรอและอยู่บนรถไฟฟ้า รถโดยสาร สถิติการรับข้อมูลในช่วงเวลานี้จะพุ่งสูงมาก จะใช้วันอาทิตย์นัดให้เด็กทำกิจกรรมในวันจันทร์ ซึ่งโรงเรียนไม่รู้ หรือรู้ก็ไม่ทันเตรียมตัวในการป้องกัน ป้องปราม แก้ไข ทำความเข้าใจ
ต้องยอมรับว่า ม็อบชานมในไทยประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจสำหรับบางพรรคการเมืองซึ่งเป็นคนสร้างม็อบ เพราะสามารถจัดตั้งนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและนักเรียนมัธยมปลายได้ทั่วประเทศ แต่ละจังหวัดและภูมิภาคมากน้อยแตกต่างกันไป อย่างน้อยคนอายุ 18 ปีขึ้นไป ก็เป็นฐานเสียงให้กับบางพรรคการเมืองในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นการเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า
เมื่อมีม็อบชานม ทำให้นึกถึงม็อบ “คนสูงวัยที่ใจยังหนุ่มสาว” หรือกลุ่ม “ยัง โอลด์” ที่เพิ่งจะเกษียรอายุ คนเหล่านี้ยังแข็งแรง ยังฟิต ติดตามข่าวสารตลอดเวลา ที่สำคัญคือเป็นคนที่มีประสบการณ์ในชีวิตมาแล้ว กลุ่มยังโอลด์เหล่านี้เป็นพ่อแม่ ป้า น้า อา ของบรรดาม็อบชานมทั้งหลาย หลายคนยังจ่ายเงินค่าเล่าเรียนให้กับม็อบชานม หรือม็อบชานมยังแบมือของเงินจากผู้ใหญ่เหล่านี้อยู่ ม็อบยังโอลด์พวกนี้มีประสบการณ์ในการร่วมม็อบมาตั้งแต่อายุสี่สิบ หรือห้าสิบปีกว่า เมื่อมีม็อบเสื้อเหลือง พธม. และม็อบ กปปส. แม้อายุจะมากเป็นรุ่นพ่อ แม่ ป้า น้า อา ของม็อบชานม แต่ม็อบยังโอลด์สามารถยืนอยู่ได้หลายยก
พวกยังโอลด์เหล่านี้ โดยเฉพาะที่เป็นผู้ชาย (หรือแม้แต่ผู้หญิง) ล้วนแต่เคยกิน “โอเลี้ยง” มาแล้วทั้งนั้น ถ้าไม่กินก็รู้หน้าตารสของโอเลี้ยงว่าเป็นอย่างไร ม็อบชานมไม่รู้จักโอเลี้ยง แต่ม็อบโอเลี้ยงรู้จักชานมดี ม็อบชานมยืนหลายยกไม่ได้ ทนอะไรนานๆไม่ได้ แต่ม็อบโอเลี้ยงยืนได้นาน
การสร้างและปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรุ่น เพื่อประโยชน์ของบางพรรคและกลุ่มการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและสังคมโดยรวม อาจนำไปสู่เบื้องปลายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีกครั้ง
เราหวังว่า “ม็อบโอเลี้ยง” คงไม่ต้องออกมาแสดงพลังอีกครั้ง ทั้งที่เวลานี้หลายคนฮึดฮัดเต็มที่ โดยเฉพาะพวกยังโอลด์ฝ่ายหญิงหลายคนที่ส่งสัญญานว่าพร้อมจะออกไปยืดเส้นยืดสายทันทีที่ชาติบ้านเมืองอยู่ในอันตราย ขอให้มี “ผู้นำ” ที่เชื่อถือได้
จุดอ่อนของพรรค/กลุ่มการเมืองที่อยู่เบื้องหลังม็อบชานมในไทย คือ ก้าวล้ำหน้าไปถึงขั้นกระทำการจนถูกคนในสังคมขนานนามว่ าเป็นพวก “ ชังชาติ ชังเจ้า ล้มเจ้า ” จาบจ้วง ดูถูกดูหมิ่น ด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ในขณะที่อ้างว่าพวกตนเป็น “กลุ่มก้าวหน้า” แต่วิธีคิดล้าหลังไปถึง 88 ปี เพราะปีนี้เป็น พ.ศ.2563 ซึ่งกำลังจะขึ้นปี 2564 อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ตัวเองยังหมกมุ่นอยู่กับคณะปฏิวัติปี 2475
รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่ยึดหลักการ “ประเทศต้องปกครองด้วยกฎหมาย” และบังคับใช้กฎหมายกับคนที่ทำผิดกฎหมาย ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังเช่นที่ทำอยู่ในขณะนี้
คนที่คอยยุม็อบชานมให้ทำผิดกฎหมายนั้น ประกาศตัดหางปล่อยวัดแกนนำม็อบชานมที่ถูกจับ อย่างไม่อาลัยใยดี บางทียังพูดให้คนถูกจับช้ำใจอีกด้วย เราไม่เห็นพวก “อีแอบ” ที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมาแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะมาช่วยประกันตัว
ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนมาคั่น ตั้งใจไว้ว่า สัปดาห์หน้าจะเขียนถึงประเทศที่เคยสนับสนุนม็อบฮ่องกง เมื่อไม่มีม็อบฮ่องกงแล้ว เขาจะสนับสนุนใครต่อ (จบ)


