posttoday

คณะราษฎร 2563

20 สิงหาคม 2563

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

******************

หลังจากผลุบ ๆ โผล่ ๆ มานาน คนพวกนี้ก็เริ่มเปิดโฉมหน้าสู่สาธารณะมากขึ้น เป็นการ “เปิดหน้าไพ่” คือ ไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นาๆ ทั้งเชิงวิชาการและไม่ใช่วิชาการ คนประเภทนี้ไม่เคยหมดไปจากเมืองไทย แต่เปลี่ยนหน้าออกมาเล่นบทนี้ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่สมัยหนุ่มสาวยุค คริสต์ศตวรรษ 1940 ที่คลั่งลัทธิมาร์กซิสต์และลัทธิรีปับลิค จากนั้นก็มาถึงหนุ่มสาวยุค 1966 ที่ส่วนหนึ่งคลั่งลัทธิสาธารณะรัฐ หรือ รีปับลิคแบบอเมริกัน เพราะหนุ่มสาวไปเรียนที่อเมริกามากขึ้น

แนวคิดดั้งเดิมสมัยคณะราษฎร ถูกนำมาฟื้นฟูขึ้นใหม่หลังการเมืองเปลียนแปลงเมื่อปี 2549 ผู้สูญเสียอำนาจรุ่นใหญ่พูดถึงการสานต่อแนวคิดคณะราษฎร พ.ศ.2475 ขณะนี้ผ่านไป 88 ปี จากปี 2475 จนถึงปี 2563 หรือยุค 2020 นักการเมืองหน้าใหม่รุ่นหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งออกมาประกาศเจตนารมณ์คณะราษฎรปี 2475 อีกครั้ง คนพวกนี้ถือว่า เจตนารมณ์สำคัญของคณะราษฎร คือ การทำให้ประเทศปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ยังไม่สำเร็จ หากสำเร็จแล้วขั้นต่อไปจะเป็นอย่างไร พวกเขาคงมีแผนไว้แล้ว

กลุ่มหนึ่งยุค 2020 ดูจะหนักกว่าเพื่อน ประกอบกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารที่ก้าวหน้า กว้างไกล รวดเร็ว ที่คนสามารถสื่อสารถึงกันเพียงแค่ปลายนิ้วกด คนส่วนใหญ่แม้แต่เด็กก็มีโทรศัพท์มือถือได้ ทำให้การเผยแพร่แนวคิดปฏิกษัตริย์นิยมเป็นไปอย่างกว้างขวาง รวดเร็ว ผิดกับการปลุกระดมของ พ.ค.ท.ทั้งสายจีนและสายโซเวียต ที่ยังใช้สื่อแบบเก่า เช่น วิทยุกระจายเสียง (ส.ป.ท.) แผ่นปลิว การโน้มน้าวแบบตัวต่อตัว

สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้คนมีเวลาฉุกคิดน้อย มีเวลาตรวจสอบน้อย แต่พร้อมจะเสพข้อมูลข่าวสารและพร้อมจะเชื่อ จึง่ง่ายต่อการทำให้หลงเชื่อ ขณะที่ผู้กระทำการมีความรู้และประสบการณ์สูงในการโน้มน้าวใจคนให้เชื่อ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ตื่นตัว อารมณ์วูบวาบ ไม่หยุดนิ่ง ถ้าสิ่งใดที่พวกเขาคิดว่า “ใช่” ก็ไม่มีอะไรจะหยุดได้

การชุมนุมที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 เป็นจุดทดสอบสำคัญที่คนกลุ่มนี้ได้เปิดหน้าชนสถาบันสูงสุดอย่างตรงไปตรงมา ด้วยคำ “ประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่ 1 “ แสดงว่า เมื่อมีฉบับที่ 1 ต่อไปคงมีฉบับที่สอง สาม สี่ตามมาอีก

ในข้อเสนอสองหน้ารวม 10 ข้อนี้ คนที่อ่านหน้าแรกคงมีข้อสังเกตตรงกันว่าคล้ายกับลอกภาษาของคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 มาใช้กล่าวหา โจมตี เสียดสี พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน คล้ายกับที่เคยทำกับในหลวงรัชกาลที่ 7 มาแล้ว อ่านครั้งแรกทำให้เคลิ้มนึกว่าเราอยู่ใน พ.ศ.2475 แต่พอดูเนื้อหาสาระกลายเป็นเรื่องราวในปัจจุบัน

การที่จะเรียกร้องอะไรนั้น เขียนอย่างไรก็ได้ ส่วนจะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็รู้ว่ากลุ่มคนคณะนี้รู้สึกอย่างไร และต้องการอะไรกับสถาบันกษัตริย์

ข้อ 1 ที่เรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี 2560 และข้อ 2 ให้ยกเลิกมาตรา 112 ในกฎหมายอาญา ข้อกำหนดทั้งสองมีไว้ป้องกันการหมิ่นประมาทองค์พระประมุขของประเทศ เท่ากับเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของพระประมุขของประเทศ ดังเช่นที่คนไทยทุกคนได้รับความคุ้มครองในเรื่องนี้ เพื่อ ป้องกันคนที่ไม่ชอบหาเรื่อง กลั่นแกล้งฟ้องร้อง ถ้าไม่มีสองข้อในสองกฎหมายดังกล่าว ป่านนี้พวกชังเจ้าของหาเรื่องฟองร้องพระมหากษัตริย์ไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้กษัตริย์ต้องลงมาทะเลาะกับประชาชนของตนเอง

ข้อ 3 นั้น เชื่อว่ากระทรวงการคลังเคยชี้แจงอย่างละเอียดมาแล้ว ถ้าสงสัยก็ไปถามกระทรวงการคลังดู

ข้อ 4 งบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ในแต่ละปีเป็นไปด้วยความรอบคอบ สอดคล้องกับสถานภาพการเงินของประเทศอยู่แล้ว

ข้อ 5 นั้น ส่วนราชการในพระองค์ก็เหมือนกับกระทรวงทบวงกรมที่มีส่วนราชการต่างๆ ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ความรับผิดชอบ สิ่งใดที่เป็นกิจการในพระองค์ก็ให้ท่านบริหารเอง

ข้อ 6 นั้นยิงตลก ที่ห้ามไม่ให้บริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด ขึ้นอยู่กับคนไทยว่าจะบริจาคหรือไม่ก็ได้ ไม่มีการบังคับ ที่ผ่านมา คนไทยยินดีที่จะบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลมากกว่าที่จะบริจาคให้รัฐบาล โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำบัญชีรับจ่ายอย่างละเอียด ถ้าไม่อยากบริจาคก็ไม่มีใครบังคับ ในกรณีการออกสลากกินแบ่งงวดพิเศษเพื่อพระราชกุศลตามที่มีการนำมาเผยแพร่ในสื่อโซเชียลนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสลากกินแบ่งว่าจะจัดให้มีหรือไม่อย่างไร และควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างไร

ที่ตลกที่สุดคือ ข้อ 7 ที่ให้ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ แนวความคิดนี้แบบนี้เคยปรากฎมาแล้วจากกลุ่มชังเจ้าตั้งแต่สมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 คนกลุ่มนี้ทนไม่ได้ที่คนไทยเฝ้ารอฟังพระราชดำรัส โดยเฉพาะวันที่ 5 ธันวาคม และวันที่ 12 สิงหาคม ในกรณีอื่น เราก็ไม่เคยเห็นกษัตริย์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ ผู้เสนอลองยกตัวอย่างมาให้ดูบ้างก็ดี

ที่ขำกลิ้งไม่แพ้ข้อ 7 คือ ข้อ 8 ที่ให้ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงามทั้งหมด กรณีนี้ ผู้เสนอน่าจะยกตัวอย่างว่าอะไรที่ “เกินงาม”

ในส่วนข้อ 9 นั้น ผู้เสนอฉวยโอกาสดึงเอาเรื่องการหายตัวของคนไทยคนหนึ่งในกัมพูชา ที่พยายามโยงมาเกี่ยวข้องเพื่อด้อยค่าสถาบันสูงสุด

ส่วนข้อ 10 นั้น คณะฯ ห้ามไม่ให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองรัฐประหารครั้งใดอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝืนความจริง หากนักการเมืองทำดี บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ก็ไม่มีรัฐประหาร การที่ทหารเข้ายึดอำนาจได้เท่ากับเขาเป็นรัฐาธิปัตย์ พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นสำคัญ การป้องกันปัญหาก็คือ อย่าให้มีการโกงกิน บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย จนทหารต้องออกมายึดอำนาจ

หากดูภาพหลังจะพบว่า ผู้จัดมีเจตนาจาบจ้วง ดูถูก ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง โดยไม่ต้องอธิบายอีก ทั้งหมดเป็นแนวคิดของคนที่หนีมาตรา 112 ไปอยู่ต่างประเทศ และเริ่มทำมาแล้วเมื่อบ่ายวันที่ 28 สิงหาคม 2563 ที่เชียงใหม่ แต่วันนั้นฉุกละหุกไปหน่อย แต่วันนี้ มีเวลาเตรียมตัวเต็มที่

ได้ข่าวล่าสุดว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายตามวันเวลาดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ ส่วนคนแสดงและบริษัทที่รับงานนั้นก็ต้องใจกล้ายอมรับว่า เมื่อกล้าทำ ก็ต้องกล้าติดคุก

การชุมนุมเป็นสิทธิ์ หากเกินเลยเป็นเรื่องของกฎหมาย # การชุมนุมเกินเลย # ละเมิดสถาบัน

มีบางคนในกลุ่มปฏิกษัตริย์นิยมมักพูดว่า เราต้องการ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นวลีที่คณะราษฎรใช้ในขณะนั้น จึงอยากให้คนพูดและผู้สนใจไปตรวจดูรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า มีมาตราใดที่กษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญบ้าง หากมีท่านจะได้เสนอผ่าน ส.ส.คณะก้าวไกลเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในคราวนี้เสียเลย

นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ปกเกล้า มิใช่ปกครอง” ซึ่งก็ตรงกับพระปฐมบรมราโชบายของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครองราชย์ที่ว่า “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม “ ( เน้นคำว่า “ครอง” ไม่ใช่ปกครอง ) ซึ่งในหลวงองค์ปัจจุบันทรงมีพระราชปณิธานสืบสานต่อพระราโชบายนี้ต่อมา

เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย มีแต่ “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์” คณะนี้แหละที่เดือดร้อน ซ้ำยังทำให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเดือดร้อนไปด้วย

ความจริง คนกลุ่มนี้เป็นเพียง “หน้าฉาก” เท่านั้น สื่อต้องเปิดโปง “ไอ้โม่ง” ตัวจริงที่สนับสนุนการชุมนุมวันนั้น ให้ชาวไทยผู้จงรักภักดีทราบด้วย โดยเฉพาะคนที่สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการชุมนุม

ข่าวล่าสุด

เปิดเบอร์เลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ พท.9 - ปชน.46 - ภท.37 - ปชป.27