posttoday

ปิดประเทศแบบไทย

12 มีนาคม 2563

โดย...ภุมิรัตน์ ทักษาดิพงศ์

******************************

เห็นท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมา ทำไมหน้าท่านแก่ไปเยอะ ไม่ใช่ผู้เขียนคนเดียวเท่านั้นที่เห็น เพื่อนฝูงหลายคนก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี้เช่นกัน พร้อมกับแสดงความห่วงใยว่า ท่านคงทำงานหนักจนไม่สบาย แม้ว่าจะเอาชนะคะแนนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาโดยชนะคะแนนอย่างสวยงาม

เราในฐานะประชาชนธรรมดาที่ติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรีคนนี้มาโดยตลอด เห็นแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ หากท่านไม่สบายกายก็ขอให้หายเร็วๆ แต่ถ้าไม่สบายใจ ก็ขอให้ผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคที่เผชิญหน้ารัฐบาลไปได้ด้วยดี

ปัญหาที่หนักอบหนักใจผู้นำรัฐบาลมากที่สุด คงหนีไม่พ้นการแพร่ระบาดของโรคร้าย “โควิด-19” ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว เพราะสองประเทศยักษ์ใหญ่ได้ลงนามในข้อตกลงครั้งแรก ที่คาดว่าจะทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้นแล้ว พอมาเจอโควิด-19 เข้า แรงกระแทกรุนแรงยิ่งกว่าสงครามการค้าเสียอีก

ทั้งปัญหานอกประเทศและในประเทศ ถาโถมเข้าใส่รัฐบาลชุดนี้อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของรัฐบาล แต่ก็ท้าทายความสามารถของรัฐบาลในการแก้ปัญหา

หลังการประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ 10 มีนาคม 2561 วันรุ่งขึ้นพุธที่ 11 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีได้เชิญประชุมรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วนเฉพาะ เรื่องการก้าวสู่ระยะที่สามของโรคโควิด-19 ในไทย และข้อเสนอการปิดประเทศ

ทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกในการพัฒนาของโรคที่เข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นการพัฒนาตามปกติของโรคในทุกประเทศ จากที่คนจีนติดโรคจากสัตว์ ต่อมาคนจีนกับคนจีนติดต่อกันเอง สำหรับโรคที่ระบาดเข้าไทยนั้น มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นำโรคเข้ามาติดคนไทย คนไทยไปติดมาจากต่างประเทศ ขั้นที่ 3 คือ คนไทยที่เป็นโรคแพร่กระจายเชื้อสู่คนไทยด้วยกันเอง รัฐบาลประกาศให้คนไทยตระหนักและเตรียมการป้องกัน ไม่ใช่ให้ตื่นตระหนก

บนความเลวร้ายก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับประเทศไทยเช่นกัน เพราะไทยรักษานักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาป่วยในไทยหายหลายรายจนส่งกลับประเทศของเขาได้ แพทย์ไทยรักษาคนไทยที่ติดโรคจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจนหายดี แพทย์ไทยสามารถค้นคว้าผสมยารักษาโรคร้ายนี้ และนำมาใช้รักษาคนป่วยจนหายดี ไทยมีคนติดเชื้อในอัตราต่ำ รักษาหายไปหลายราย ตายเพียง 1 รายเท่านั้น ไทยได้รับการยกย่องจากองค์การระหว่างประเทศว่าเป็นประเทศที่นอกจากมีระบบสาธารณสุขที่ดีในระดับต้นๆ แล้ว ยังมีการเตรียมรับการแพร่ระบาดของโรคร้ายได้ดีด้วย

พอรัฐบาลประกาศมาตรการระดับ 3 หลายคนได้เรียกร้องให้ไทยประเทศ “ปิดประเทศ” เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ แต่รัฐบาลต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในที่สุด ก็ใช้มาตรการ “ปิดประเทศโดยไม่ปิดประเทศ” แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น และไม่ให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติแตกตื่นจนเกินเหตุ

หลายคนสงสัยว่า แล้วมาตรการที่ว่านี้คืออะไร ความจริงรัฐบาลไม่ได้ประกาศมาตรการที่ว่านี้ แต่ผู้เขียนอุปมาอุปมัยเอาเอง กล่าวคือ รัฐบาลไม่ได้ปิดประเทศ ไม่ได้ห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทศ แต่ยกเลิก “Visa on Arrival” (VOA) เป็นการชั่วคราว ดังนั้น ชาวต่างชาติที่เคยเดินทางมาไทยและมาขอวีซ่าที่สนามบินสุวรรณภูมิหรือสนามบินระหว่างประเทศอื่นๆ ในไทยจะทำแบบเดิมอีกไม่ได้ในช่วงนี้ พวกเขาต้องไปติดต่อขอวีซ่าที่สถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้นๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะเข้าไทยได้ (18 ประเทศ)

ถ้าหลุดเข้าได้ ต้องนำเข้ากักกัน ณ สถานที่กำหนดเป็นเวลา 14 วัน หากไม่ยินยอม จะถูกส่งกลับต้นทางในไฟล์ทต่อไป พอสถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลก็จะพิจารณากลับมาใช้ วี.โอ.เอ. อย่างเก่า

สำหรับประเทศที่มีการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างรุนแรง เช่น จีน อิหร่าน อิตาลี เกาหลีใต้ ทางการจะระงับการออกวีซ่าชั่วคราว นัยหนึ่ง ไม่ออกวีซ่าให้คนสี่ประเทศที่มีการระบาดของโรคอย่างรุนแรงเข้าไทยในระยะนี้

หน่วยงานแรกที่เป็นด่านหน้ารับผิดชอบต่อมาตรการข้างบนคือ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีสถานทูต สถานกงสุลอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต้องแจ้งให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นที่ต้องการเดินทางมาไทยทราบ ใครอยากมาไทยต้องไปขอวีซ่าที่สถานทูตหรือสถานกงสุล คนที่คิดจะมาขอวีซ่าเมื่อมาถึงเมืองไทยนั้นทำไม่ได้ระยะนี้ และแจ้งให้รัฐบาลประเทศนั้นๆ ทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นของไทยที่ต้องใช้มาตรการนี้ชั่วคราวไปก่อน ส่วนที่กระทรวงต่างประเทศใน กทม. ก็มีการตั้ง “ศูนย์ตอบโต้โดยฉับพลัน” (Rapid Response Center – RRC) ดูแลเรื่องนี้โดยตรงภายใต้การควบคุมของรองปลัดกระทรวงต่างประเทศ

ด่านที่สองคือ กองบัญชาการตรวจคนเข้าเมือง หรือ ต.ม. และหน่วยงานด้านสาธารณะสุขซึ่งประจำอยู่ตามสนามบินระหว่างประเทศทั่วประเทศ  ทำหน้าที่ในการตรวจสอบชาวต่างชาติ และคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อกลั่นกรองคนที่อาจติดเชื้อ เพื่อนำไปรักษาตัวไม่ให้มาแพร่เชื้อในประเทศไทย

ที่บางคนอ้างว่า เดินผ่าน ตม. เข้ามาได้สบายโดยไม่เห็นมีใครมาตรวจร่างกาย ขอให้รู้ไว้ว่าทางการได้ติดตั้งเครื่องตรวจไว้แล้วว่าใครมีไข้สูงเกินกว่าที่กำหนด เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในห้องเฉพาะมาแยกตัวออกไปทันที (พอเจ้าหน้าที่อยู่ในห้องตรวจเฉพาะ ก็ยังโดนกล่าวหาว่าแอบไปนอนหลับเสียอีก)

ไทยมีมาตรการต่อคนที่ติดเชื้อไวรัสตามแบบของเราเอง เพราะไทยมีประสบการณ์ และมีชื่อในการต่อสู้กับเชื้อโรคระบบหายใจนี้มาแล้ว เช่น ไข้หวัดซาร์ส เมอร์ส เป็นต้น การปิดประเทศแบบไม่ปิด ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของไทย มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ได้ประโยชน์ทั้งกับนักท่องเที่ยวและกับเจ้าของบ้าน

การประชุมในช่วงเช้าวันที่ 11 มีนาคม เปรียบเสมือนกับรัฐบาลได้ตั้ง “วอร์รูม” และมี “ซิงเกิล คอมมานด์” ที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการแต่ผู้เดียว รัฐบาลได้กำหนดให้โรคไวรัสโควิด-19 เป็น “วาระแห่งชาติ” เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น คนที่เสนอให้ตั้งวอร์รูมบ้าง ให้มีซิงเกิลคอมมานด์บ้าง กำหนดให้การแพร่ระบาดของโรคเป็นวาระแห่งชาติบ้าง จึงสบายใจได้ ที่สำคัญ คือ วอร์รูมนี้มุ่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ไม่ใช่เฉพาะมิติด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมมิติอื่นๆ ด้วยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไข้โควิด 19

การที่ไทยป้องกันและแก้ปัญหาจนมีคนติดเชื้อน้อย รักษาให้หายได้มาก และคนเสียชีวิตจากโรคร้ายนี้จำนวนน้อย (จนถึงขณะนี้เพียง 1 คน) กลับถูกตั้งข้อสงสัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่าไม่โปร่งใส และต้องการคำตอบ ซึ่งทางการไทยได้ตอบไปเรียบร้อยแล้วว่า ไม่มีอะรที่ไทยต้องปกปิด โดยเฉพาะไทยมีโรงพยาบาลบำราศนราดูรที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ในการดูแลโรคระบาดประเภทนี้ ได้เตรียมการมาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2522 ไทยใกล้ชิดกับปัญหามากเพราะมีประสบการณ์กับการต่อสู้ไวรัสซาร์ส และเมอร์ส มาก่อน

ข้อกล่าวหาจากภายนอกประเทศไม่น่าห่วง ที่น่าห่วงคือ ปัญหาภายในประเทศที่ฝ่ายตรงข้ามพยายาม “สะกดจิต” ให้คนเชื่อว่า รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ได้ รัฐบาลเลว รัฐบาลต้องออกไป ทั้งที่ผู้นำรัฐบาลมีความตั้งใจจริง ทุ่มเท ในการทำงานให้ประเทศ

ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศแบบคาวบอยต่อกรณีไวรัสโควิด 19 ในสหรัฐว่า “เอาอยู่” นี่เป็นการแสดงลักษณะผู้นำแบบคาวบอย คนอเมริกันเชื่อผู้นำของเขา ไม่เฉพาะคนอเมริกันเท่านั้น คนทั่วไปก็ต้องการผู้นำที่ตอบโจทย์ประชาชนได้ เมื่อมีผู้นำ ก็มีผู้ตาม และเขาพร้อมที่จะปกป้องผู้นำเพื่อประเทศชาติ

เรื่องการเป็นผู้นำทางการเมืองนี้สอนกันไม่ได้ ต้องมีอยู่ในสายเลือดของคน

***********************************

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา