posttoday

ความจงรักภักดีทางการเมือง

04 มกราคม 2563

ทวี สุรฤทธิกุล

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

***********************************

เรือเหล็กของลุงตู่ต้องแล่นฝ่ามรสุมรอบด้าน

หมอดูหลายคนทำนายทายทักว่า รัฐบาลนี้น่าจะอยู่รอดไปได้ในปี2563 นี้ แต่ที่บอกว่าอาจจะไม่รอดพ้นปีนี้ก็มีอีกหลายคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในทางวิชาการก็จะพบว่า รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเจอปัญหาใหญ่ในทางการเมืองอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ “ความจงรักภักดีทางการเมือง” ที่น่าจะเป็นมรสุมที่ใหญ่ที่สุดของคณะผู้ปกครองชุดนี้

“ความจงรักภักดีทางการเมือง” หมายถึง “การเคารพยึดมั่นต่อผู้ปกครองของผู้ใต้ปกครอง” ที่มีระดับเบาที่สุดตั้งแต่การยินยอมและปฏิบัติตาม ในระดับกลางๆ คือให้ความเคารพรักและเชื่อฟัง ไปจนสูงสุดคือความเชื่อถือศรัทธาอย่างซื่อสัตย์และจริงใจ ที่ประชาชนมีมอบให้แก่ผู้ปกครองของเขา ซึ่งในบทความนี้จะมองความจงรักภักดีทางการเมืองนี้ในกลุ่มคนสองกลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มนักการเมืองที่แวดล้อมอยู่ในรัฐบาลและรัฐสภากลุ่มหนึ่ง กับกลุ่มประชาชนที่อยู่ภายนอกสภาอีกกลุ่มหนึ่ง โดยพิจารณาจาก “ความจงรักภักดี” ที่ผู้คนทั้งสองกลุ่มนี้มีให้แก่คณะผู้ปกครองหรือรัฐบาลชุดนี้เป็นหลัก

ในกลุ่มนักการเมืองที่แวดล้อมรัฐบาล ในกรณีของประเทศไทยพบว่า นักการเมืองของไทยเป็นกลุ่มคนแบบที่เรียกว่า “ข้าหลายเจ้าบ่าวหลายนาย” อันสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรมทางการเมืองของไทย ที่คนไทยชอบที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง เส้นสายและการเล่นพรรคเล่นพวก จึงชอบที่จะ “เปลี่ยนเจ้าเปลี่ยนนาย” เมื่อมีนายคนใหม่ที่ให้ประโยช์ได้มากกว่า หรือเมื่อนายคนเก่าหมดอำนาจวาสนาหรือสิ้นชีวิตไป

ในทางการเมืองไทยก็เช่นกัน เราจะพบว่านักการเมืองของไทย “ขาดความซื่อสัตย์และความจริงใจ” สามารถปรับเปลี่ยนขั้วไปอยู่ข้างใดก็ได้อยู่ตลอดเวลา รวมถึงไม่ได้รักและเคารพต่อนายของตนอย่างมั่นคง เมื่อมีผู้มีอำนาจคนใหม่หรือนายที่ให้ประโยชน์ได้มากกว่า ก็พร้อมจะเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนข้างได้เสมอ ไม่เว้นแต่ในวงราชการที่มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอำนาจนั้นอยู่ตลอดเวลา (คือการเลื่อนตำแหน่งและการโยกย้าย) อันเป็นสาเหตุหลักของความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ที่สร้างความหนักใจให้กับผู้มีอำนาจมาทุกยุคทุกสมัย

ขณะนี้มีหลายคนออกมาให้ความเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่รอดได้อีกนาน เพราะรัฐบาลกำลังจะได้สมาชิกใหม่เข้ามา ด้วยเหตุที่จะมีการยุบพรรคพรรคอนาคตใหม่ โดยคาดว่าน่าจะมี “งูเห่าแตกรัง” ออกมาไม่น้อยกว่า 20 ตัว (คน) ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีเสียงพ้นปริ่มน้ำไปได้ แต่ในทางการเมืองไทยนั้นไม่อาจจะใช้วิธีนับเลขแบบง่ายๆ นี้ได้ เพราะแม้แต่ 254 เสียงที่ประกอบกันเป็นฝ่ายรัฐบาลอยู่ในปัจจุบัน ก็หาได้มีความจงรักภักดีทางการเมืองอะไรแต่อย่างใดไม่ ด้วยปัจจัยทางนิสัยสันดานภายใต้วัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่กล่าวมา

โดยการเข้ามาของงูเห่าเหล่านั้นจะยิ่งสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลมากขึ้น นั่นก็คือ ส.ส.กลุ่มนี้จะมีสภาพเป็นเหมือน “ของเน่า” คือเป็นที่รังเกียจทั้งจากสังคมทั่วไป จากพรรคที่แตกตัวออกมา และจากพรรครัฐบาลด้วยกันเอง แบบที่สำนวนไทยเรียกว่า “ลูกเมียน้อย” ยิ่งไปกว่านั้น ส.ส.เหล่านี้อาจจะกลายเป็น “หอกข้างแคร่” ด้วยรูปแบบของการต่อรองเพื่อแลกกับการยกมือสนับสนุนรัฐบาลในกฎหมายและญัตติต่างๆ ซึ่งก็จะสร้างความไม่ราบรื่นในการควบคุมเสียงในสภานั้นอยู่ร่ำไป ดังที่เกิดขึ้นในรัฐสภาของไทยมาทุกยุคทุกสมัย

ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้ข้อสันนิษฐานที่ว่านักการเมืองไทยมี “ความจงรักภักดีทางการเมืองต่ำ” เราจะพบว่า ส.ส.ในฝ่ายรัฐบาลเองก็มี “ก๊กก๊วน” แบ่งแยกกันอยู่เป็นจำนวนมาก โดย ส.ส.บางคนก็ทำท่าเป็น“สัมภเวสี” เร่ร่อนยอมตัวแลกผลประโยชน์ไปเรื่อยๆ เพียงแค่มีใครให้ผลประโยชน์ที่มากกว่าก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปสนับสนุนได้ทุกวาระ โดยปรากฏการณ์นี้จะเริ่มจากการพิจารณากฎหมายที่สำคัญๆ อย่างเช่นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายที่กำลังจะเข้าสภาในวาระสามเพื่อการรับรองให้รัฐบาลนำเงินไปใช้จ่ายได้ รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ที่ฝ่ายค้านก็มีเชี่ยวชาญและฉลาดที่จะเรียก “เชือด” เป็นรายบุคคล เพื่อให้รัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติต้อง “ร้อนก้น” หาผู้สนับสนุนไม่ให้ตนเองได้เสียงน้อยกว่าใคร โดยเฉพาะในกรณีที่มีนายกรัฐมนตรีถูกยื่นด้วยผู้หนึ่ง ก็ยิ่งจะทำให้รัฐมนตรีหลายๆ คนที่แม้จะไม่โดนอภิปราย ก็ต้องไปหาความสนับสนุนจาก ส.ส.มาช่วยนายกรัฐมนตรีนั้นด้วย เพื่อแสดงถึง “ความจงรักภักดี” ที่มีต่อตัวนายกฯ และเป็นการรักษาเก้าอี้ของตัวไม่ให้ถูกกระทบกระเทือน ด้วยมีข่าวอย่างหนักว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ ซึ่งก็จะมีกลุ่ม “งูเห่าพรรคแตก” นั้นเข้ามาเป็น “ตัวคูณ” เพิ่มเข้าไปอีก จึงมีความเป็นไปได้ว่าสภาพภายในรัฐบาลจะยิ่งมีแต่ความโกลาหลและจะมีความยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมีระเบิดวางไว้อยู่ภายใน ซึ่งหากถอดชนวนไม่ได้ เก้าอี้ของนายกฯเองก็จะสั่นสะเทือน รวมถึงชะตากรรมของรัฐบาลนั้นด้วย

สำหรับกลุ่มประชาชนภายนอกสภาก็มีแบ่งเป็น 2 ข้างอยู่แล้ว โดยฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาลก็จะยังคงพยายามก่อกวนรัฐบาลไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่รอให้ “รัฐบาลแตก” ซึ่งก็อาจจะส่งผลกระทบไปสู่ประชาชนในฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลนั้นต่อไป คือประชาชนกลุ่มนี้ที่สนับสนุนรัฐฐาลก็เพราะอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข แต่ถ้าพวกเขาเห็นว่าใน ส.ส.ฟากฝ่ายของรัฐบาลเองก็วุ่นวายพอๆ กัน ความจงรักภักดีที่เคยมีต่อรัฐบาลก็อาจจะเสื่อมคลายลง ที่สุดก็อาจจะมองว่า “มันก็อีหรอบเดียวกัน” แล้วเลิกให้ความจงรักภักดีไปได้ในที่สุด

อนึ่งประชาชนคนไทยก็อยู่ภายใต้วัฒนธรรมทางการเมืองแบบเดียวกันกับนักการเมืองไทย คือไม่ได้ยึดติดว่าใครจะมาปกครอง หรือจะปกครองด้วยระบอบอะไร เพราะพวกเขาต้องการแต่เพียง “ประโยชน์สุข” ที่ผู้นำคนใดระบอบใดก็ได้สามารถหามอบให้แก่พวกเขาได้ ดังที่เราจะเห็นว่านายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลที่ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือจากการรัฐประหาร ถ้าทำงานเป็นที่ถูกใจของประชาชนแล้ว พวกเขาก็ยินยอมค้อมหัวให้มาโดยตลอด

แต่ถ้าไม่ถูกใจหรือเบื่อขึ้นมาเมื่อไร ก็พร้อมที่จะขับไล่ไสส่งไปเสียทุกคนเช่นกัน

********************

ข่าวล่าสุด

ตรวจสอบ 5 วิธีย้ายโรงพยาบาล 'สิทธิประกันสังคม' วันนี้ - 31 มี.ค. 69