posttoday

อย่าได้บิดเบือน

19 มีนาคม 2562

เป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. พรรคการเมืองปล่อยหมัดเด็ดทางนโยบายให้เข้าถึงหัวใจประชาชน

เรื่อง ขำ เคืองใจ

เป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. พรรคการเมืองปล่อยหมัดเด็ดทางนโยบายให้เข้าถึงหัวใจประชาชน ขณะเดียวกันมีการปล่อยข่าวในลักษณะสร้างความเข้าใจผิด เพื่อหวังผลหลังการเลือกตั้ง

เช่น เรื่องราวการโหวตนายกรัฐมนตรี มีความพยายามวาดภาพความเลวร้ายให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน จึงขอใช้โอกาสนี้นำบทความจากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในหัวข้อ “อย่าได้บิดเบือน” มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งหนึ่ง

มีเนื้อหาดังนี้...ใกล้เลือกตั้งเข้ามา ยิ่งมีการกระจายข้อมูลบิดเบือน ข่าวเต้า หรือข่าวโกหก หรือ Fake News ใน Social Network อย่างกว้างขวาง โดยหวังให้พี่น้องประชาชนเกิดความเข้าใจผิดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

เรื่องนี้ผิดทั้งศีลธรรมอันดีและผิดกฎหมาย นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐยังโกหกพกลมกันขนาดนี้ ถ้าได้รับเลือกเข้าไปบริหารบ้านเมืองจะไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรือ

ประเด็นหนึ่งที่มีการปล่อยของกันอย่างเมามัน คือ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หมกเม็ดกลไกการสืบทอดอำนาจไว้ด้วยโดยให้ สว.มีสิทธิเลือกผู้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรกด้วย คงเพราะเห็นว่า กรธ.สิ้นสภาพไปแล้ว ไม่มีใครมาแถลงตอบโต้แน่ๆ โยนให้ กรธ.เป็นแพะตามทฤษฎีสมคบคิดไปเลยดีกว่า

นี่เรียกว่านอกจากจะบกพร่องทางจริยธรรมมากแล้ว ยังผิดกฎหมายด้วย

ความจริงร่างรัฐธรรมนูญที่ กรธ.เสนอไปนั้น เสนอให้ สส.เท่านั้นที่เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีจากผู้ซึ่งพรรคการเมืองได้ประกาศชื่อให้ประชาชนทราบตั้งแต่ตอนหาเสียงครับ เพื่อป้องกันมิให้มีการแอบไปงุบงิบกันเสนอใครก็ไม่รู้มาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าเลือกคนในบัญชีที่ประกาศไปแล้วไม่ได้เสียที กรธ.วางกลไกไว้ว่าก็ให้เสนอรัฐสภาพิจารณาอนุมัติให้เลือกจากผู้ซึ่งพรรคการเมืองไม่ได้เสนอชื่อได้ ถ้ารัฐสภาเห็นด้วย ก็ให้ สส.เสนอชื่อและดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไปได้

แต่ในชั้นการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติท่านได้เสนอให้ทำประชามติใน “คำถามพ่วง” ไปด้วย 1 คำถาม โดยคำถามพ่วงที่ว่านี้เขาถามว่า

“ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”

ปรากฏว่าคำถามพ่วงนี้ได้รับความเห็นชอบในการลงประชามติ 58.11% ไม่เห็นชอบ 41.89% ดังนั้น เมื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติข้างมากเขาเห็นชอบ จึงต้องมีการปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามผลการออกเสียงประชามติในคำถามพ่วงนี้ ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงนี้ได้ปรากฏอยู่ในวรรคสามของคำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วย

ดังนั้น ใครก็ตามที่ปล่อยข่าวว่า กรธ.ได้หมกเม็ดให้ สว. มีสิทธิเลือกผู้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรก จึงบกพร่องทางจริยธรรมอย่างรุนแรง และเข้าลักษณะเป็นการชี้นำให้มีการเลือกหรือไม่เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง อันเป็นการทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมด้วย ซึ่งผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายเลือกตั้งคงต้องดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้ให้เด็ดขาดเสียที

และควรเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องไต่สวนและสั่งระงับการบิดเบือนนี้โดยพลัน