posttoday

ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

18 มีนาคม 2562

นับว่าการเมืองช่วงนี้คงจะบอกเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า ทวีความเข้มข้นจนให้หลายฝ่ายต้องเกาะติดแบบชนิดห้ามคลาดจากสายตา

เรื่อง ทองพระราม

นับว่าการเมืองช่วงนี้คงจะบอกเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า ทวีความเข้มข้นจนให้หลายฝ่ายต้องเกาะติดแบบชนิดห้ามคลาดจากสายตา เพราะด้วยทุกพรรคการเมืองต่างงัดกลเม็ดเด็ดแพรวพราวออกมา เอาใจประชาชนทั้งในและนอกเมือง

หรือหากเทียบให้เห็นเข้าใจ คือ “ทั่วทุกหัวระแหง” เพราะแต่ละนโยบายต่างคัดสรร คัดเลือก มาเอาใจเฉพาะประชาชน ให้ตรงตามยุค ตามเทรนด์ ที่เปลี่ยนไปตามกระแสโลกกาภิวัตน์ อันเคลื่อนแปรผันไปอย่างรวดเร็วติดจรวด

แต่ไม่ว่าอย่างเสียงสะท้อนหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ซึ่งจัดทำโดยสถาบันพระปกเกล้า โดยเป็นการสำรวจครั้งที่ 5 แต่ที่เป็นตัวแปรน่าสนใจสำคัญ นอกเหนือจากนโยบายแล้ว คือ ตัวผู้สมัคร และรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

เนื่องจากผลสำรวจ ระบุ ถ้าเป็นในพื้นที่ต่างจังหวัด จะเลือก สส.แบบแบ่งเขต ขณะที่ความคิดเห็นของชาวกรุงเทพฯ จะดูที่รายชื่อแคนดิเดต นายกฯ มาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจ ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.อันใกล้เข้ามาถึงนี้

ทว่า เป็นที่น่ายินดียิ่ง เพราะผลสำรวจความคิดเห็นมีประชาชนถึง 95% จะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และ 94% มั่นใจว่าหนึ่งเสียงที่ลงไปจะสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นได้ ซึ่งหมายถึงประชาชนทุกภาคส่วนมีความตื่นตัวมากขึ้น

ยิ่งเฉพาะกับการเลือกตั้งที่จะใกล้เข้ามาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า และต้องยอมรับว่าประเทศไทยห่างหายจากการเลือกตั้งไปตั้งแต่ปี 2554 ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลและปัจจัยชี้ชัดว่าประชาชนพร้อมจะใช้สิทธิกำหนดทิศทางอนาคตประเทศ

โดยเฉพาะกับการเลือกผู้แทนราษฎรเข้าไปทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทย เพื่อขับเคลื่อนพาชาติไทยออกจากหล่มกับดักทางการเมือง จนทำให้ประเทศไม่สามารถเดินเครื่องได้อย่างเต็มสูบตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เพราะความคิดต่างการเมือง

นอกจากนั้น ผลสำรวจยังมีประเด็นน่าสนใจเพราะนอกจากประชาชนจะมองถึงนโยบายแล้ว แต่ประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจไม่แพ้กัน คือ นายกฯ ในดวงใจที่ประชาชนอยากได้ 82% มีคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต รองลงมา 77% ความโปร่งใสในการทำงาน

จึงนับเป็นอีกมุมที่ประชาชนสะท้อนให้เห็นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการเมือง แต่อีกสิ่งหนึ่งสะท้อนถึงความคิดประชาชนได้ชัด จากการระบุของ วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ว่า หน้าตาบุคลิกภาพไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป ดังนั้น คนหน้าใหม่จึงมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับเลือก

เท่ากับภาพการเมืองจากนี้ไปจะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาให้เห็นมากขึ้น และบอกเป็นนัยว่าจากนี้หมดยุคนักการเมืองหน้าเก่าๆ ที่เคยมาเดินเฉิดฉายในรัฐสภาเหมือนอย่างอดีตที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็พอเป็นคำตอบให้พรรคและนักการเมืองได้กลับมาคิดทบทวน ว่าจากนี้ประชาชนไม่เหมือนเก่า เพราะบทเรียนการเมืองไทยตลอด 10 ปี ซึ่งเปรียบดั่งบทเรียนชั้นยอด ฉะนั้น หากคิดเล่นลูกไม้เดิมๆ เพียงแค่หวังกอบโกยคะแนนเสียง

ก็ควรพึงระวังอำนาจของประชาชนจะสั่งสอนตอนเข้าคูหา เพราะอาจจะไม่ได้รับเลือกเพียงเพราะภาพสวยหรูที่มาวาดฝันให้ประชาชนดังนั้น การเมืองต่อจากนี้ต้องทำจริง คิดจริง แก้จริง โดยเฉพาะประเด็นปากท้อง ครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ