posttoday

อากาศเป็นของรถ

27 ธันวาคม 2561

หลังจากสภาพบรรยากาศในหลายพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ขุ่นมัวเพราะถูกปกคลุมด้วย “หมอกควันพิษ”

เรื่อง มะกะโรนี

หลังจากสภาพบรรยากาศในหลายพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ขุ่นมัวเพราะถูกปกคลุมด้วย “หมอกควันพิษ” ในระดับที่มีค่าความหนาแน่นเกินค่ามาตรฐานอยู่นานหลายวัน ก็เริ่มมีการตื่นตัวเรื่องนี้กันขึ้นมาบ้าง

ปัญหาหมอกควันพิษในอากาศ เป็นเรื่องที่เคยพบมาแล้ว เกิดขึ้นในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาติดต่อกันด้วยซ้ำไป เป็นข่าวดังหรือเงียบหายไปบ้าง ย้อนไปเมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นักวิชาการด้านนี้ออกมาระบุว่า ปัญหาหลักๆ คือ รถยนต์ใช้น้ำมันและรถยนต์มาตรฐาน Euro 4 ที่ถูกนำมาใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา ส่งผลให้เกิดปัญหาฝุ่นชนิดนี้ทั้งจากรถยนต์ทั้งรถเก่าและรถใหม่

ยังมีการระบุด้วยว่ากิจกรรมประจำวันต่างๆ เช่น การเผา โดยเฉพาะการเผาในที่โล่ง การก่อสร้าง และการประกอบการอุตสาหกรรมต่างๆ ต่างก็มีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้

แต่เมื่อปัญหาคลี่คลายลง ความตื่นตัวก็เงียบหายไปหรือกระทั่งหลงลืมราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเริ่มตื่นตัวกันอีกครั้ง ก็ตอนที่บรรยากาศสีเทาซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นหมอกช่วงต้นฤดู เมื่อไม่กี่วันมานี้

หน่วยงานด้านสาธารณสุข ต้องออกมาเตือนว่า ให้ระวังหมอกควันที่มีสารพิษ เสี่ยงที่จะกลายเป็นต้นเหตุของอาการต่างๆ ตั้งแต่การอักเสบระยะเริ่มต้นไปจนถึงอาการที่มีความรุนแรง ซึ่งหมายความว่า ในระยะยาวหากปัญหานี้เกิดซ้ำซากและวนเวียนอยู่กับการตื่นตัวแบบนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพในอนาคตอันใกล้

ปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ก็เคยถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน จนได้ข้อสรุปกันว่า มาจากการจราจรจำนวนผู้ใช้รถที่เพิ่มขึ้นเกือบพันเท่าในรอบ 50 ปี

นอกจากเมืองหลวงแล้ว เทียนจิน และเหอเป่ย์ เคยตรวจพบภาวะมลพิษระดับร้ายแรงจนรัฐบาลต้องสั่งปิดโรงเรียนสถานศึกษา ปี 2560 รัฐบาลจีนถึงกับประกาศมาตรการควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด มีการสั่งปิดโรงงานที่ก่อมลพิษทางอากาศหลายหมื่นแห่งเพื่อตรวจสอบ และกว่า 8 หมื่นแห่ง ถูกสั่งปรับ ถูกทางการระบุเป็นสาเหตุก่อมลพิษ

นักวิทยาศาสตร์ของจีน พบด้วยว่า สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ซ้ำเติมให้ปัญหาหมอกควันในจีนรุนแรงขึ้น มีความถี่ในการเกิดบ่อยขึ้น และยังกินเวลาในแต่ละครั้งยาวนานกว่าเดิม เพราะทะเลน้ำแข็งกำลังหลอมละลายและส่งผลกระทบไปยังสภาพอากาศของหลายเขตภูมิอากาศทั่วโลก

ปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ก็เคยประสบปัญหานี้ รัฐบาลถึงกับประกาศใช้มาตรการบังคับรถยนต์ทะเบียนคู่และคี่วิ่งสลับวันกัน เพื่อลดจำนวนรถบนถนนลง บางประเทศถึงกับประกาศว่าต้องกำจัดรถยนต์เก่าไปจากถนนภายในกี่ปี เพื่อแก้ปัญหานี้ในระยะยาว

แต่บ้านเราไม่มีการพูดกันถึงการแก้ปัญหาในระยะยาวให้เห็นนัก โดยเฉพาะเรื่องของการจำกัดปริมาณรถ ทั้งที่รู้ดีว่าประชากรใน กทม.ซึ่งหนาแน่นถึง 5.7 ล้านคน (ตัวเลขปี 2560) ไม่นับที่ไม่ได้มีทะเบียนบ้าน และชาวต่างชาติคาดว่าทั้งหมดราว 10 ล้านคน

ขณะที่สถิติจำนวนรถทั้งหมดเพิ่มจำนวนขึ้นในทุกปี ล่าสุดในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาปริมาณรถสะสมใน กทม.ทะยานขึ้นเฉียด 10 ล้านคัน อยู่ที่ 9,912,067 คัน แน่นอนถ้ารวมรถยนต์ป้ายทะเบียนต่างจังหวัดที่เข้ามาวิ่งใน กทม. ตัวเลขย่อมเกิน 10 ล้านคัน

จำนวนรถมีพอๆ กับคนหรืออาจจะมากกว่า จนอาจจะกล่าวได้ว่า กทม.เป็นเมืองของรถยนต์ อากาศก็ถูกรถใช้เผาไหม้มากกว่าคนหายใจ แต่ก็ยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องการจำกัดปริมาณโดยเฉพาะในช่วงใกล้เลือกตั้ง เพราะจะทำให้กลายเป็นประเด็นที่ถูกนำไปจุดชนวนให้เสียคะแนนนิยมได้