posttoday

ติดกระดุมผิดเม็ดแรก

09 ตุลาคม 2561

กลายเป็นเรื่องที่เดินซ้ายก็ลำบาก เดินไปทางขวาก็ยากเต็มทน

กลายเป็นเรื่องที่เดินซ้ายก็ลำบาก เดินไปทางขวาก็ยากเต็มทน

เมื่อรัฐบาลต้องตัดสินใจเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ ที่จัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยจะเก็บเงินภาษีบุหรี่อีกซองละ 2 บาท เพื่อหาเงินปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท

ในหลักการทุกอย่างดูดีหมด เนื่องจากเป็นการเก็บเงินจากบุหรี่เพื่อใช้สำหรับการรักษาพยาบาล

แต่สิ่งที่กำลังเผชิญก็คือภาษีบุหรี่ที่พลาดเป้า เกี่ยวพันถึงสถานะการคลัง และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย

กรมสรรพสามิต เก็บภาษีเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2561 เก็บได้ 6.32 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 7,743 ล้านบาท หรือ 10.9%

ภาษีน้ำมันต่ำกว่าเป้าหมาย 1,342 ล้านบาท หรือ 4.5% ภาษีเบียร์ต่ำกว่าเป้าหมาย 5,261 ล้านบาท หรือ 32.7% ภาษีสุราต่ำกว่าเป้าหมาย 5,261 ล้านบาท หรือ 23.3% และภาษียาสูบเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,435 ล้านบาท หรือ 30.7%

ในบรรดาภาษีบาป แนวโน้มที่น่าห่วงคือภาษีบุหรี่ที่เก็บต่ำเป้าเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

แม้ในปีงบประมาณนี้การเก็บภาษีจะสูงกว่าเป้า แต่เป็นตัวเลขจำบัง เกิดจากการที่กรมสรรพสามิตออกระเบียบให้ผู้ผลิตและนำเข้าบุหรี่ต้องจ่ายภาษีล่วงหน้าเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท เลยทำให้ดูดี

ทั้งหมดอาจกล่าวได้ว่า เป็นผลจากการกลัดกระดุมผิดเม็ดแรก ก็เลยทำให้เม็ดต่อๆ มามีปัญหา

นั่นคือในปี 2560 มีการแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต และกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เริ่มมีผลบังคับในวันที่ 16 ก.ย. 2560 ส่งผลต่อราคาบุหรี่

เพราะหลังจากนั้น โรงงานยาสูบ หรือการยาสูบแห่งประเทศไทย ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง บุหรี่ของโรงงานยาสูบที่มีราคาถูกที่สุด เดิมขายซองละ 40 บาท หลังปรับโครงสร้างภาษีต้องเพิ่มเป็น 60 บาท ส่วนชนิดอื่นๆ ซองละ 86 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 95 บาท

ในทางกลับกัน บุหรี่ที่นำเข้ากลับปรับลดราคาลงมา เช่น จากซองละ 70-80 บาท ลดลงมาเหลือ 60 บาท

แค่ 2 เดือนภายหลังการปรับโครงสร้างภาษี ยอดขายบุหรี่โรงงานยาสูบลดลง 41% ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของโรงงานยาสูบอย่างหนักนับแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้

ขณะเดียวกัน ชาวไร่ยาสูบก็โดนหางเลขอย่างจัง เนื่องจากสต๊อกใบยาของการยาสูบฯ มีอยู่เต็มโกดัง จะไปซื้อใบยาของชาวไร่มาเก็บไว้ก็ไม่มีกำลังพอ

เท่าที่ประเมินสต๊อกใบยา คงเหลือใช้ได้ถึงปี 2566-2567 รองรับการผลิตได้อีก 3-5 ปี โดยสต๊อกที่ควรเหลือเก็บไว้ตามปกติคือไม่เกิน 24 เดือน หรือ 2 ปี ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อคุณภาพใบยา

ทางออกของบุหรี่ ชาวไร่ยาสูบ และการเก็บภาษีเข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพ จึงเป็นทางเดินที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง

ความลำบากเลยมาหล่นปุ๊ มากองลงอยู่ตรงหน้า

จากการติดกระดุมผิดเม็ดแรกแท้ๆ เชียว