เรื่องดีๆที่มาช้าๆ แบบเต่า
ต้องยกให้เป็นกฎหมายพลังเต่าจริงๆ สำหรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
โดย..ณ กาฬ เลาหะวิไลย
ต้องยกให้เป็นกฎหมายพลังเต่าจริงๆ สำหรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ...
และก็ต้องถือว่าช้าอย่างน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่เป็นร่างกฎหมายที่ตั้งต้นมานาน
หลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว คือ การมุ่งเน้นให้เกิดวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่หวังกำไรเหมือนธุรกิจอื่นๆ แต่จะเป็นการสร้างงาน สร้างธุรกิจ ลงไปช่วยเหลือชาวบ้าน ประชาชนระดับฐานราก ให้ลืมตาอ้าปาก ด้วยการทำธุรกิจแบบยั่งยืน
วิธีนี้แตกต่างจากการเอาเงินไปแจก โดยเป็นการจัดทำสภาพแวดล้อม จัดโครงสร้างธุรกิจให้ประชาชนฐานรากลงมือทำ และอยู่ได้แบบเศรษฐกิจพอเพียง
แรกเริ่มตั้งแต่มีการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ ก็จับเรื่องรัฐวิสาหกิจ เพื่อสังคมอย่างจริงจัง โดยทำรายงาน รวมถึงจัดทำร่าง พ.ร.บ.เสร็จสิ้น ผ่านความเห็นอย่างท่วมท้นจากสภาปฏิรูปแห่งชาติไปเมื่อ 9 ก.พ. 2558
จากนั้นนำส่งคณะรัฐมนตรี เมื่อ 18 มี.ค. 2558
ปรากฏว่าร่างกฎหมายดังกล่าว วนเวียนไปวนเวียนมา ผ่านกระบวนการต่างๆ ที่ยืดเยื้อยาวนาน จนค่อยมาผ่านมติคณะรัฐมนตรีไปเมื่อนเดือน ก.ค. 2561 หรือเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปีครึ่ง
ขั้นตอนต่อไปก็คือการผลักดันร่างกฎหมาย เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
จริงอยู่แม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม อาทิ มาตรการทางภาษี มาตรการคัดกรองกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคม ฯลฯ แต่ก็เป็นสิ่งที่ครึ่งๆ กลางๆ ยังไม่สัมฤทธิผลเหมือนกับการมีกฎหมายรองรับ
เพราะร่างเนื้อหากฎหมาย จะให้สิทธิประโยชน์ การส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยมีทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร มาตรการส่งเสริมการลงทุนในวิสาหกิจเพื่อสังคม การได้รับความช่วยเหลือด้านเงินทุน การช่วยเหลือด้านงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
ที่สำคัญคือการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ขาดแคลนเงินทุนในระยะแรก โดยกองทุนจะมีรายได้หลักจากเงินบริจาคของภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป
ปัจจุบันมีการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมอยู่แล้วกว่า 300 แห่ง และจากกฎหมายนี้คาดว่า ภายใน 10 ปีจะทำให้เกิดวิสาหกิจเพื่อสังคมกว่า 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ
นอกจากนั้นยังเชื่อว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานในกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้พิการ 2 ล้านคน ผู้สูงอายุ 12 ล้านคน ผู้ด้อยโอกาส 5 ล้านคน รวม 19 ล้านคน
กลุ่มคนเหล่านี้จะยังจะเปลี่ยนสถานะจากภาระของสังคมเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และพึ่งพาตัวเองได้
นี่แหละ คือร่างกฎหมายที่รอมานาน และไปช้ากว่าที่ควรจะเป็น
และคงต้องรอเวลาที่เหลืออยู่ว่า ร่างกฎหมายจะออกมาบังคับใช้ได้หรือไม่
ถ้าไม่ทันก็ต้องถือว่า คณะทหาร คสช.และรัฐบาลสอบตก ไม่ผ่านมิติด้านสังคม
เรื่องดีๆ แบบนี้ ทำไมถึงใช้พลังเต่ามาขับเคลื่อนก็ไม่รู้