ตปท.ขาย

โดย..นายกระทิงและหญิงฟลอร์

หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ 1 ทศวรรษที่ยั่งยืน ฉบับวันจันทร์ที่ 7 พ.ค. 2561

ดัชนีหุ้นไทยปิดท้ายสัปดาห์ไหลลง ปิดที่ 1,779.87 จุดร่วงลง -10.93 จุด มูลค่าการซื้อขาย 55,852.89 ล้านบาท 

ต่างชาติขายหนักอีก 4,144.84  ล้านบาท สถาบันขาย 1,381.69 ล้านบาท พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อ 514.10 ล้านบาท รายย่อยซื้อ 5,012.43 แรงขายต่างชาติยังเกิดขึ้นต่อเนื่องและยังไม่เห็นสัญญาณการไหลกลับมา และนับจากต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปแล้ว 88,097.01 ล้านบาท...เมื่อสภาพเงินทุนต่างชาติยังขายสุทธิ คงเป็นเรื่องอยากที่จะเห็นดัชนีหุ้นไทยกลับไปยืนเหนือระดับ 1,800 จุด 

สัปดาห์นี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในภาคธุรกิจจะเริ่มทยอยประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรก ปี 2561 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) ประเมินว่ากำไรไตรมาสแรกปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจะออกมาลดลงโดยงวดไตรมาสแรกปีก่อนมีกำไรสุทธิรวม 2.88 แสนล้านบาท ถือเป็นฐานที่สูงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่จะทรงตัวจากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 2.55 แสนล้านบาท

วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้  ให้ความเห็นว่า หุ้นไทยในเดือน พ.ค.ดัชนีจะแกว่งในกรอบ 1,765-1,810 จุด นักลงทุนต่างประเทศอาจจะขายหุ้นไทยและนำเงินออกนอกประเทศหลังฤดูกาลจ่ายปันผลจบลง อีกทั้งเงินบาทอ่อนค่ายิ่งหนุนให้ต่างประเทศขายหุ้นออกมา และมองว่าเดือนนี้ต่างชาติน่าจะขายสุทธิอีก 5,000-6,000 ล้านบาท และต้องจับตาว่านักลงทุนสถาบันภายในประเทศจะเข้ามาช้อนซื้อเหมือนเช่นทุกครั้งหรือไม่

มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประกาศกำไรไตรมาสแรก ปี 2561 ทำได้ 148.83 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่องจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 256.93 ล้านบาท หลักๆ ก็มาจากรายได้นายหน้าค้าหลักทรัพย์ลดลงจาก 603.79 ล้านบาท เหลือ 562 ล้านบาท ส่วนรายได้อื่นๆ ซึ่งคือรายได้จากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน...ก็ยังคงต้องบอกธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงแข่งขันรุนแรง 

ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ (CPT) บิ๊กล็อตโผล่ 6.22% หรือ 128 ล้านบาท เป็นการขายของผู้ถือหุ้นใหญ่