posttoday

บุญคุณแผ่นดิน

19 กุมภาพันธ์ 2561

บลูมเบิร์ก สื่อระดับโลกได้ทำดัชนีความทุกข์ยากน้อยที่สุด (Misery Index) โดยไทยรั้งอันดับ 1

โดย..ณ กาฬ เลาหะวิไลย

บลูมเบิร์ก สื่อระดับโลกได้ทำดัชนีความทุกข์ยากน้อยที่สุด (Misery Index) โดยไทยรั้งอันดับ 1

หมายความว่าไทยมีความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจน้อยที่สุดในโลก และครองอันดับติดต่อกันมาแล้วถึง 4 ปี

ดัชนีความทุกข์ยาก จะวัดจากอัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และความเข้มแข็งของตลาดแรงงาน ใน 66 ประเทศ โดยสำรวจความเห็นจากนักเศรษฐศาสตร์ระหว่างเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว จนถึงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

เหตุผลที่ทำให้ไทยได้รับอันดับ 1 ก็คือ เงินเฟ้อต่ำ ตกงานน้อย โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไทยมีอัตราว่างงานที่ระดับต่ำเพียง 1.3% ในปีที่แล้ว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับ 0.66%

ประเทศที่ตามมาเป็นอันดับ 2 คือ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในอันดับ 3 ควบคู่กับสวิตเซอร์แลนด์

สิ่งที่น่าจับตาก็คือบรรดามหาอำนาจเศรษฐกิจโลกอย่างจีน มหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 2 ของโลก มีอันดับร่วงหลุดจากเดิมเคยอยู่อันดับ 10 ก็หล่นสู่อันดับ 17 ขณะที่สหรัฐอันดับดีกว่าจีนไม่มากนัก

ประเทศที่มีความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกคือ เวเนซุเอลา ซึ่งครองตำแหน่งนี้ 4 ปีซ้อน ถัดมาคือ แอฟริกาใต้ อาร์เจนตินา อียิปต์ และกรีซ

จะเห็นได้ว่าประเทศที่วิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไม่มีความสุขสงบ ก็จะมีความทุกข์ยากที่มาก

การจัดอันดับดังกล่าว จึงมองอีกมุมไม่ได้เอาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นตัววัด แต่เอาผลที่เกิดขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่สะท้อนในแง่เงินเฟ้อ ที่แสดงถึงการใช้จ่ายของประชาชน และการว่างงาน แสดงให้เห็นถึงการมีงานทำเป็นตัวแปร

อย่าง จีน สหรัฐ แม้ขนาดเศรษฐกิจจะใหญ่คับโลก แต่เมื่อเทียบแล้วค่าใช้จ่ายของประชาชนก็จะแพงขึ้น มีอัตราการตกงานที่สูง จึงทำให้ความสุขเลือนหายไป

กลับมาบ้านเรา ที่ติดอันดับประเทศที่ทุกข์น้อยสุด มีหลายสาเหตุ แต่ประเด็นหลักเห็นทีต้องยกให้เป็นบุญคุณแผ่นดิน

พื้นฐานของเมืองไทยก็คือ เกษตรกรรม ทำให้มีกิน มีใช้ตลอดปี ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ บางช่วงสินค้าบางอย่างแพงก็สามารถเปลี่ยนไปกิน ไปใช้สินค้าอื่นแทนได้

การกินอยู่ที่เป็นพื้นฐานการใช้จ่าย จึงได้ภาคการเกษตรช่วยเหลือมาตั้งแต่โบราณ

ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรยังเป็นกลไกสำคัญในการดูดซับแรงงานออกไป เป็นฐานแรงงานขนาดใหญ่ ตกงานก็กลับไปทำไร่ไถนา

ส่วนสภาพสังคมแม้จะกลายเป็นสังคมเดี่ยวมากขึ้น เมื่อครอบครัวโตขึ้นก็แยกตัวออกไป แต่การเกื้อกูลระหว่างกันยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เมื่อมีภาวะว่างงานก็ยังมีการช่วยเหลือเจือจาน อุ้มชู ไม่ให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมมากเกินไปนัก

และในอนาคต แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีไปมากเพียงใด หากถ้ายังมีพื้นฐานด้านการเกษตร พื้นฐานวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ก็จะเป็นแกนกลางทำให้บ้านเมืองไปรอด

เป็นบุญคุณแผ่นดินที่อยู่ยั่งยืนมาอย่างเนิ่นนาน