posttoday

CAPITAL GAIN กับตลาดหุ้น (ตอนจบ)

21 ธันวาคม 2560

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ www.facebook.com/VI.Kitichai

บทความตอนที่แล้ว ผมกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผลตอบแทนจากการลงทุนใน ตลท. รวมทั้งวิธีการเลือกซื้อกองทุนประเภทต่างๆ พร้อมทั้งกำหนดสัดส่วนของสินทรัพย์แต่ละประเภทที่จะลงทุน ตามช่วงอายุของผู้ลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงสุด ในอัตราความเสี่ยงที่พอที่จะยอมรับได้ จากการที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้น เมื่อลงทุนในระยะยาว จะสร้างผลตอบแทนที่งดงามมาก เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปีของธนาคารพาณิชย์ จึงทำให้มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องการเก็บภาษีกำไรส่วนต่างราคาหุ้น (Capital gain tax) อยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นมามาก

อย่างเช่นเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีข่าวออกมาจากสื่อต่างๆ ที่มีนักวิชาการบางท่านออกมาให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับเรื่องการที่ควรจะมีภาษี Capital gain tax เรียกเก็บกับนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยเรียกเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผล โดยอ้างว่าในเมื่อนักลงทุนมีรายได้ก็ควรจะต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับผู้มีรายได้อื่นที่จะต้องเสียภาษีเช่นกัน โดยแบ่งระดับการเก็บภาษีดังกล่าวจากช่วงเวลาการถือครองหุ้น โดยที่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ซื้อและถือยาว 1 ปีขึ้นไป จะเสียภาษีต่ำกว่านักลงทุนที่ซื้อขายแบบเก็งกำไรในระยะสั้น แล้วยังเห็นว่าควรจะให้นำเงินปันผลที่ถึงแม้ว่าจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว ให้นำกลับมาคิดรวมกับรายได้อื่นด้วย ตอนยื่นเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ถ้าทำเช่นนี้แล้วก็จะทำให้ผู้เสียภาษีที่ได้เงินปันผลจากบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลท.ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น

ตั้งแต่ที่มีการก่อตั้ง ตลท.ยังไม่เคยมีการเก็บภาษีดังกล่าว เนื่องจากรัฐต้องการส่งเสริมการลงทุนในตลาดทุน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้มีเงินออมและนักลงทุนต่างๆ ให้นำเงินออมและเงินลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และเมื่อมองดูประเทศต่างๆ รอบบ้านเรา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดเลยที่มีการเก็บภาษีดังกล่าวนี้ แม้กระทั่งสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่ถือว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ยังไม่มีการเรียกเก็บภาษีตัวนี้เลย เพราะว่ารัฐบาลทุกประเทศในกลุ่มอาเซียนได้เล็งเห็นผลประโยชน์ที่มีมากกว่าการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวนี้ ที่ว่ามีอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น

1.กระตุ้นให้ผู้มีเงินออมนำเงินออมมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีสภาพคล่องสูงขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีนักลงทุนบางส่วนเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้นก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นส่วนน้อย อย่างไรก็ตามกลุ่มนักเก็งกำไรเหล่านี้ก็ทำให้ตลาดหุ้นมีสภาพคล่องสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้น ในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ คงไม่มีนักลงทุนอยากจะลงทุนในตลาดหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ อยากจะซื้อหรืออยากจะขายก็ลำบากเป็นแน่

2.ดึงดูดให้บริษัทต่างๆ ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนใน ตลท.ให้ความสนใจที่จะนำบริษัทของตนเข้ามาจดทะเบียน เพราะว่าจะทำให้มูลค่าของบริษัทสูงขึ้น มากกว่าการอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เกิดผลพลอยได้ คือ มีการจัดทำระบบบัญชีที่ถูกต้องก่อนเข้าตลาด ทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ยิ่งมีบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นเท่าไร ก็จะทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป)  ของตลาดหุ้นไทยยิ่งใหญ่ขึ้น และมีโอกาสเข้าไปอยู่ในดัชนีการลงทุนของหน่วยงานต่างๆ มากขึ้น เช่น MSCI, FTSE เป็นต้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยเข้าไปอยู่ในเรดาร์ของกองทุนใหญ่ๆ ระดับโลกมากขึ้น ก็จะยิ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น

3.ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทางอ้อมจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อมีเงินเหล่านี้เข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่ำลง ยิ่งถ้าหุ้นของบริษัทเหล่านี้ซื้อขายกันด้วยสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) ที่สูงขึ้น ต้นทุนของเงินทุนก็จะยิ่งต่ำลงเข้าไปอีก นอกจากนั้นยังทำให้บริษัทเหล่านี้มีความแข็งแรงของกิจการมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทที่ขยายกิจการไปยังต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการไปตั้งสาขา หรือตั้งโรงงาน หรือไปเทกโอเวอร์กิจการในต่างประเทศ ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นทั้งในระดับภูมิภาค หรือแม้กระทั่งในระดับโลก

เมื่อเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่ได้รับจากการยกเว้น Capital gain tax ให้กับนักลงทุน กับผลเสียที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว คงมีคำตอบอยู่ในใจกันแล้วนะครับ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"