posttoday

กองทุนหุ้นอาเซียน ลงทุนไว้ไม่ผิดหวัง

11 เมษายน 2560

สิ่งหนึ่งที่เป็น “จุดขาย” ของประเทศในประชาคมอาเซียน ที่ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศได้ดีที่สุดคือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

สิ่งหนึ่งที่เป็น “จุดขาย” ของประเทศในประชาคมอาเซียน ที่ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศได้ดีที่สุด คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

เพราะแต่ละประเทศอยู่ในช่วงที่ต้องลงทุนสิ่งเหล่านี้ในการพัฒนาประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมทั้งประเทศไทยด้วย

มณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ ประเมินว่า หากมองไปในอีก 3-5 ปีข้างหน้า อัตราการเติบโตของภูมิภาคอาเซียนเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 4-5% ต่อปี

“คาดว่าประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม จะมีอัตราการเติบโตของ GDP ในระดับสูงสุด ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียนส่วนใหญ่จะมาจากการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตขึ้น อีกทั้งภาคการส่งออกจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ” 

กองทุนหุ้นอาเซียน  ลงทุนไว้ไม่ผิดหวัง

 

นอกจากนี้ ความมั่นคงทางการเมืองและรัฐบาลจะช่วยสร้างเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

นอกจากนี้ ในแต่ละประเทศจะมี “จุดแข็ง”ของตัวเอง

ไทย : ได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ เพราะเป็นศูนย์กลางของประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)

ฟิลิปปินส์ : มีคู่ค้าใกล้ชิดกับสหรัฐ ดังนั้นหากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ภาคการส่งออกของฟิลิปปินส์ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

สิงคโปร์ : เป็นตัวกลางในการกระจายเงินลงทุนลงสู่ภูมิภาค

อินโดนีเซีย และมาเลเซีย : มีทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะถ่านหิน

เวียดนาม : อยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวและมีโครงสร้างของอุตสาหกรรมต้นน้ำในหลายๆด้าน

กองทุนหุ้นอาเซียน  ลงทุนไว้ไม่ผิดหวัง

 

“การรวมกันของภูมิภาคนี้ที่มีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน ขณะที่อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปีจึงเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพ” มณฑล กล่าว

พร้อมกันนี้ มณฑลยังกล่าวถึงการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนว่า ปัจจุบันนี้เศรษฐกิจประเทศหลักมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น นำโดยเศรษฐกิจประเทศสหรัฐ ขณะที่เศรษฐกิจในแถบยูโรโซนและประเทศจีนยังคงทรงตัว ซึ่งเป็นปัจจัยหลักสนับสนุนการปรับขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง

อีกทั้งปัจจุบันยังมีเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมถึงอาเซียน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีปริมาณที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา แต่หากวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนมีทิศทางที่ดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลแต่ละประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ควบคู่กันทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เช่น การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

“บลจ.วรรณ มองว่า ถัดจากนี้ไปเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถเพิ่มความน่าสนใจเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียน”

นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจดีเพียงอย่างเดียวแต่เมื่อมองไปที่ “มูลค่าหุ้น” ก็ไม่ได้แพงเกินไป

- ราคาต่อกำไร (P/E) ปี 2560 อยู่ที่ 15.65 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกแล้วยังถูกกว่า และถูกกว่าสหรัฐอย่างเห็นได้ชัด

- อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) อาจจะไม่สูงนัก โดยเฉพาะถ้าเปรียบเทียบกับตลาดเกิดใหม่ที่จะมีอัตราการเติบโตมากถึง 15% ในปี 2560 แต่หากเจาะลึกลงไปในรายประเทศ จะเห็นว่าอินโดนีเซียเป็นดาวเด่นในปีนี้ เพราะคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตถึง 34%

- ผลตอบแทน (สกุลเงินเหรียญสหรัฐ) หากมองจากสายตานักลงทุนต่างชาติ ตลาดหุ้นอาเซียนให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับกลางๆ โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 17 มี.ค. 2560 ให้ผลตอบแทน 8.33% ขณะที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ทำผลงานได้ดีที่สุด 13.62%

- ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (PB) อยู่ที่ 1.66 เท่าในปี 2560 และ 1.56 เท่า ในปี 2561

- ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE)คาดว่าจะทำได้ถึง 14.15% ในปี 2561 ซึ่งไม่ขี้เหร่เลยเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ และถ้าเป็นอินโดนีเซีย คาดว่าจะทำได้ถึง 18.39%

- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) แม้จะไม่โดดเด่นเป็นหน้าเป็นตา แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ เพราะเกาะอยู่แถวๆ 3% ต่อเนื่องทั้งในปี 2560 และ 2561

เพราะฉะนั้นจึงทำให้หุ้นอาเซียนยังคงน่าลงทุน ในสายตาของมณฑล เพียงแต่ปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ ทิศทางผลการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าปีนี้จะมีโอกาสพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกประมาณ 2 ครั้ง เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ

มีการคาดการณ์ว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐในช่วงเดือน มิ.ย. มีโอกาสพิจารณาปรับขึ้นมากกว่า 50%

“หากธนาคารกลางสหรัฐมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามตลาดคาดการณ์ แรงขายในตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยเรายังมีความหวังเชิงบวกว่า ท้ายสุดแล้วนโยบายการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศจีน จะมีทางออกในรูปแบบที่ผ่อนคลายมากขึ้น” มณฑล กล่าว

พร้อมกับแนะนำสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอาเซียนเอาไว้ว่า...

“จากน้ำหนักการลงทุนในหุ้น 100% แนะนำให้ลงทุนในตลาดพัฒนาแล้ว 50% อีก 25% ลงทุนในหุ้นไทย และอีก 25% ลงทุนในอาเซียน”

จากความหวังว่า อาเซียนจะเติบโตได้ปีละ 5-6% ไปได้อีก3-5 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปีจึงมีความเป็นไปได้ที่หุ้นอาเซียนจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับ 10% ต่อปี ไปได้สบายๆ และไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68