posttoday

บทเรียนจากเศรษฐกิจดิจิทัลยุค 4.0 สู่ 4.1

05 เมษายน 2560

โดย...สมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์

โดย...สมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์

เศรษฐกิจยุคดิจิทัล หรือการค้าขายบนอินเทอร์เน็ตนั้น ที่จริงแล้วได้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2533 และมาเป็นที่นิยมมาก ก่อนที่จะเกิดสภาวะฟองสบู่อินเทอร์เน็ตแตกในปี 2544 ซึ่งน่าจะเรียกเศรษฐกิจยุคนั้นว่ายุคเศรษฐกิจ 4.0 (ส่วนรอบหลังปี 2551 ที่ถูกต้องน่าจะเรียกว่ายุค 4.1) เมื่อครั้งนั้นหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ต ทั้งในตลาดแนสแด็กที่ประเทศสหรัฐ ดัชนีได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 5,048 จุด และมีราคาต่อกำไร (พี/อี) เฉลี่ยของตลาดกว่า 60 เท่า ก่อนที่จะประสบปัญหาร่วงลงมาอย่างแรงมาต่ำกว่า 1,200 จุด ในปี 2545 (ตลาดแนสแด็กใช้เวลากว่า 15 ปี ที่จะฟื้นกลับไปสูงกว่า 5,000 จุดอีกครั้ง)

การค้าขายบนอินเทอร์เน็ตในช่วงปลายปี 2553 นั้น เคยเรียกกันว่า อี-คอมเมิร์ซ ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยการที่ครัวเรือนของประเทศสหรัฐ เริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้กันอย่างแพร่หลายและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตดีขึ้น และเริ่มเปลี่ยนจากระบบ Dial-Up ที่ส่งสัญญาณผ่านสายโทรศัพท์บ้านมาเป็นการส่งสัญญาณผ่าน Cable Modem ซึ่งเร็วขึ้นมาก การให้บริการโทรศัพท์มือถือในสหรัฐ ญี่ปุน หรือยุโรปเอง ก็เริ่มเปลี่ยนยุคจากการใช้บริการ 2จี มาเป็น 3จี ถึงแม้ความแพร่หลายของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต จะยังไม่เกิดและผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะยังน้อยกว่าปัจจุบันมากก็ตาม แต่ก็สามารถสร้างกระแสความตื่นเต้นในการลงทุนได้อย่างมาก บริษัทที่เติบโตอย่างมากในช่วงนั้น ได้แก่ บริษัท ยาฮู, อีเบย์, เอโอแอล, เดลล์, ซิสโก เป็นต้น แม้แต่อเมซอนในช่วงเริ่มแรกนั้นก็เน้นขายแต่เพียงหนังสือแข่งขันกับร้านหนังสือแบบเดิมๆ หรือแม้แต่กูเกิลในขณะนั้นเพิ่งเริ่มก่อตั้งได้ไม่กี่ปีและยังไม่เป็นที่รู้จัก และเฟซบุ๊กก็เพิ่งก่อตั้งในปี 2547 ส่วนอูเบอร์และอาลีบาบานั้นก็เพิ่งก่อตั้งในปี 2551-2552

ความแตกต่างของเศรษฐกิจยุคดิจิทัลทั้งสองครั้งนั้น ได้ให้บทเรียนน่าสนใจอย่างยิ่ง ในช่วงปี 2553 หลายบริษัทต่างแย่งกันเป็นพอร์ทัล หรือหน้าแรกของอินเทอร์เน็ตที่คนเข้าใช้บริการด้วยแนวคิดที่ว่า หน้าแรกจะสามารถดึงความสนใจของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตให้ไปสู่สินค้าและบริการอื่นๆ ที่หน้าแรกได้นำเสนอ บริษัทโทรศัพท์ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตต่างพยายามบังคับให้ผู้ใช้บริการเปิดหน้าแรกของตน โดยบริษัทพยายามนำเสนอพอร์ทัลและเสิร์ชเอนจิ้นของตัวเพื่อจะได้บังคับให้เป็นหน้าแรกของผู้ใช้บริการ แต่ผู้ใช้บริการหลายรายต่างก็เอือมระอากับการบังคับและปฏิเสธบริการเหล่านั้นไป ทำให้ทั้ง ยาฮู, เอโอแอล, เน็ตสเคป เสื่อมความนิยมลง คนต่างหันไปเลือกใช้เสิร์ชเอนจิ้นอื่นที่เป็นกลางและให้อิสระกับการค้นหาข้อมูล เช่น กูเกิล จนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย บทเรียนที่สำคัญของบริษัทที่พยายามบังคับผู้ใช้บริการบนโลกอินเทอร์เน็ตที่เน้นอิสระและความเชื่อมต่อ คือ การที่จำกัดทางเลือกของผู้ใช้ ซึ่งก็จะทำให้ความนิยมลดลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากการแย่งกันเป็นพอร์ทัล หรือหน้าแรกแล้ว บริษัทในยุคนั้นต่างก็พยายามแข่งขันกันเป็นตลาดศูนย์กลางของการซื้อขาย หรือมาร์เก็ตเพลส บริษัทระดับโลกหรือแม้แต่ธนาคารหลายๆ แห่งก็ได้ลงทุนสร้างมาร์เก็ตเพลสของตนเอง และพยายามดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้ แต่เท่าที่พิจารณาดูจะมีเพียงอาลีบาบาและอีเบย์ที่ประสบความสำเร็จ ส่วนบริษัทอื่นที่พยายามจะตั้งตัวเป็นตลาดควบคุมการซื้อขายของสินค้าและบริการหลากหลายกลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการที่ขายสินค้าหลากหลาย ทำให้การค้นหาสินค้าลำบาก การสร้างเมนูค้นหามักประสบกับความซับซ้อนในการจัดหมวดหมู่ ทำให้หาสินค้าได้ยากขัดกับหลักการ User Friendly

ตลาดที่ประสบความสำเร็จกลับมาจากการรวมตัวของผู้ใช้และคนที่มีความสนใจเฉพาะด้านเหมือนกัน โดยในแต่ละท้องถิ่นหรือตลาดท้องถิ่นหลายแห่งเริ่มมาจากเว็บไซต์ที่คนสนใจเรื่องที่คล้ายคลึงกัน โดยบุคคลเหล่านั้นจะมาพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และพัฒนาไปเป็นตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในที่สุด สำหรับประเทศไทยเองก็มีหลายตัวอย่างที่ทำแบบนี้ ต่างก็มีพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยพวกเขาจะค้นหาและรับฟังความเห็นของผู้อื่นที่เคยใช้ และนำไปเทียบราคาจากเว็บไซต์ก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การจับกลุ่มความสนใจและความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องในแต่ละท้องถิ่นจะได้รับความนิยมมากกว่าการทำทุกอย่างแบบห้างสรรพสินค้าเดิม

ความสำเร็จและความล้มเหลวของบริษัทอินเทอร์เน็ตในยุคแรกน่าจะเป็นบทเรียนที่สำคัญ สำหรับท่านที่กำลังทำบริษัทฟินเทค หรือสตาร์ทอัพ ในยุคนี้

แม้ว่ากลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพยังไม่สามารถระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะต้องมีกำไรอย่างน้อย 2-3 ปี แต่มีนักลงทุนที่สนใจลงทุนสตาร์ทอัพโดยลงทุนกันเองผ่านเครือข่ายเพื่อนฝูงคนรู้จัก อย่างไรก็ตามก่อนพิจารณาลงทุนท่านก็ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย เพื่อที่จะได้คัดเลือกบริษัทที่จะลงทุนได้ไม่พลาด

ข่าวล่าสุด

แอร์เอเชียจัดโปร NiHao China บิน 10 เมืองฮิต เริ่มต้นแค่ 2,026 บาท