คำถามที่ 12 เทรด Options ได้อัตราทด เหมือน Futures หรือไม่
โดย บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย)
โดย บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย)
ปัจจุบันผู้ลงทุนที่ซื้อขายอนุพันธ์ใน TFEX ส่วนใหญ่จะนิยมซื้อขายอนุพันธ์ประเภท Futures ซึ่งวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่ง คือ ต้องการอัตราทดหรืออัตราเพิ่มของเงิน (Leverage) ที่เกิดจากกลไกการซื้อขายด้วยการเงินประกันเพียงบางส่วนเมื่อเทียบกับมูลค่าของสัญญาทั้งหมด สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจซื้อขาย Options นั้นจะต้องบอกว่าการลงทุนใน Options ก็มีอัตราทดหรืออัตราเพิ่มของเงินด้วยเช่นเดียวกัน แต่สำหรับ Options จะนิยมใช้คำว่า “Gearing” ไม่เหมือน “Leverage” ที่กับ Futures แต่โดยความหมายแล้วมีความหมายคล้ายๆ กัน
คำว่า Gearing หรือ Leverage นั้นเป็นผลมาจากกลไกการซื้อขายอนุพันธ์ที่ไม่ต้องใช้เงินเต็มจำนวนมูลค่าของสัญญาที่ซื้อขายจนทำให้เกิดผลกำไร/ขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากกว่าการใช้เงินเต็มจำนวนเพื่อซื้อขายสินค้าอ้างอิง ยกตัวอย่าง Leverage ของการซื้อขาย Futures เช่น สมมติ SET50 Index Futures ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับดัชนี 950 จุด ขนาดของสัญญา 200 หน่วย มูลค่าของ Set50 Index Futures 1 สัญญาเท่ากับ 950*200 = 190,000 บาท สำหรับการซื้อขาย SET50 Index Futures 1 สัญญา วางเงินประกันประมาณ 1 หมื่นบาท ดังนั้น Leverage ของ SET50 Index Futures จะเท่ากับมูลค่าของสัญญาหารด้วยอัตราเงินประกัน = 190,000/10,000 บาท หรือ 19 เท่า
กรณีที่เราทำสัญญาซื้อ SET50 Index Futures ที่ 950 จุด แล้วราคาเกิดปรับตัวสูงขึ้น 10 จุด เป็น 960 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.05% เราจะได้กำไรจากการซื้อขาย SET50 Index Futures 10*200 = 2,000 บาท คิดเป็น 20% ของเงินลงทุน 1 หมื่นบาท หรือได้กำไรมากกว่าการลงทุนในดัชนี SET50 ด้วยเงินเต็มจำนวนถึง 19 เท่า
สำหรับการซื้อขาย Futures ผู้ที่ทำสัญญาซื้อและสัญญาขายจะวางเงินประกันเป็นเงินที่เท่ากัน แต่สำหรับผู้ที่ลงทุนใน Options ผู้ซื้อและผู้ขาย Options จะมีวิธีคิด Gearing ที่แตกต่างกันเนื่องจากผู้ขาย Options จะเป็นผู้ที่จะต้องวางเงินประกัน ส่วนผู้ซื้อ Options จะต้องใช้เงินจ่ายค่า Premium ดังนั้นการคิดค่า Gearing ของ Options สำหรับผู้ขาย Options จะเท่ากับมูลค่าของสัญญาหารด้วยอัตราเงินประกัน ส่วน Gearing สำหรับผู้ซื้อ Options จะคิดจากมูลค่าสัญญาหารด้วยค่า Premium ที่จ่ายเป็นค่า Options
ยกตัวอย่าง การคิด Gearing สมมติที่ระดับดัชนี 950 จุด Call Options ที่มีราคาใช้สิทธิ 950 จุด (S50H17C950) ราคา 26 จุด ค่า Premium
1 สัญญาเท่ากับ 26*200 = 5,200 บาท และผู้ขายต้องวางเงินประกัน 6,000 บาท ค่า Gearing สำหรับผู้ขาย Options จะเท่ากับ 190,000/6,000 = 31.66 เท่า ส่วน Gearing ของผู้ซื้อ Option จะเท่ากับ 190,000/5,200 = 36.53 เท่า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนอาจนำค่า Gearing ไปใช้งานตรงๆ ไม่ได้ เนื่องจากเวลาที่ดัชนี SET50 มีการเปลี่ยนแปลงไป 1 จุด ราคาของ Options ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ไม่ได้เปลี่ยนแปลง 1 จุด เหมือนกับ Leverage บน Futures ดังนั้นการจะพิจารณากำไรขาดทุนของ Options เปรียบเทียบกับสินค้าอ้างอิงจะใช้ค่า Effective Gearing แทน ซึ่งจะคำนวณจากค่า Gearing คูณด้วย Delta ซึ่งค่า Effective Gearing เป็นค่าที่บอกว่า กรณีที่ดัชนี SET50 เปลี่ยนแปลงไป 1% มูลค่าของ Options จะเปลี่ยนแปลงไปกี่ % เช่น Options ที่มีค่า Effective Gearing 6 เท่า เมื่อดัชนี SET50 เปลี่ยนแปลงไป 1% มูลค่าของ Options ตัวนี้จะเปลี่ยนแปลง 6%
ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Gearing ของ Options คือ Options ที่มีราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่ต่างกันก็จะมี Gearing และ Effective Gearing ที่แตกต่างกันด้วยเนื่องจาก Options ที่มีราคาใช้สิทธิแตกต่างกันจะมีค่า Premium และอัตราเงินประกันที่จะต้องวางเพื่อการซื้อขายแตกต่างกันด้วย
การซื้อขาย Options จะมีอัตราทดเช่นเดียวกับการซื้อขาย Futures แต่สำหรับ Options จะใช้คำศัพท์ว่า Gearing โดยวิธีการคิด Gearing สำหรับ
ผู้ซื้อและผู้ขาย Options จะไม่เหมือนกันและมีค่าไม่เท่ากัน กรณีที่ผู้ลงทุนต้องการรู้ว่ามูลค่า Options จะเพิ่มขึ้นกี่เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าของสินค้าอ้างอิงสามารถดูได้จากค่า Effective Gearing ซึ่งคำนวณจากค่า Gearing คูณด้วย Delta ของ Options แต่ละตัว สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถหาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อขาย Options ได้จากโบรกเกอร์ที่ท่านใช้บริการ หรือเว็บไซต์ www.tfex.co.th


