จาก 20-40-20 เป็น 20-40-60
โดย...สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CPF
โดย...สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CPF
หากแบ่งช่วงชีวิตของคนเราอาจจะแบ่งได้ 3 ช่วงใหญ่ๆ ได้แก่ ช่วงเล่าเรียน คือตั้งแต่เกิดจนจบการศึกษา เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 20 ปี ช่วงทำงาน คือช่วงตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงวัยเกษียณที่อายุ 60 ปี เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 40 ปี ช่วงเกษียณ คือช่วงตั้งแต่เกษียณจนถึงเสียชีวิต เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 20 ปี โดยจากข้อมูลที่เคยได้ฟังจากการบรรยายการวางแผนเพื่อวัยเกษียณเมื่อ 4-5 ปีก่อน พบว่าอายุขัยเฉลี่ยของผู้สูงอายุชายไทยอยู่ที่ 66.2 ปี ส่วนอายุขัยเฉลี่ยของผู้สูงอายุหญิงไทยคงคาดเดาไม่ยากว่าต้องอายุยืนยาวกว่าชายไทยแน่ๆ คือ อยู่ที่ 75.1 ปี เท่ากับหากแก่ตายผู้หญิงไทยจะแก่ตายช้ากว่าผู้ชายไทยประมาณ 10 ปี ซึ่งหากเราเอามาเขียนเป็นอัตราส่วนชีวิตก็จะได้ 20-40-20 เท่ากับเราทำงานหาเงิน 40 ปี แต่เงินที่เราหาเราต้องบริหารไว้ใช้เป็นระยะเวลา 60 ปี คือ 40 ปีในวัยทำงานและ 20 ปีในวัยเกษียณ หากเอาระยะเวลาใช้เงินหารด้วยระยะเวลาหาเงิน จะได้เท่ากับ 60/40 = 1.5 เท่า หมายความว่าหากเราเริ่มบริหารเงินตั้งแต่เริ่มทำงาน เงินที่เราหา 1 เดือนเราต้องบริหารให้พอใช้ 1.5 เดือน ซึ่งมองดูแล้วเป็นเรื่องยากมากที่เราจะบริหารเงินให้พอใช้
แต่ถามกันจริงๆ มีใครบริหารเงินตั้งแต่เริ่มทำงานกันบ้าง หลายคนที่ผมเจอส่วนใหญ่เริ่มบริหารเงินอายุ 35-40 ปี คือเป็นช่วงที่รายได้เริ่มจะมาก หากเริ่มบริหารเงินอายุ 40 เท่ากับมีเวลาหาเงิน 20 ปี เพื่อใช้ตลอดอายุทำงานที่เหลือ+อายุหลังเกษียณ = 20+20 = 40 ปี ระยะเวลาใช้เงินหารด้วยระยะเวลาหาเงิน จะได้เท่ากับ 40/20 = 2 เท่า โอกาสที่จะมีเงินพอใช้ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น
ผมจึงไม่แปลกใจกับรายงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จัดทำโดยนครินทร์ อมเรศ และจิรัฐ เจนพึ่งพร เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า เมื่อจำแนกครัวเรือนออกเป็น 5 กลุ่มตามชั้นรายได้ พบว่าครัวเรือนในกลุ่มสำรวจทุกกลุ่มรายได้ ไม่สามารถบริโภคได้อย่างยั่งยืนจนครบอายุขัย โดยทุกกลุ่มรายได้มีอัตราส่วนการบริโภคต่อรายได้ในช่วงเกษียณอายุสูงกว่า 1 กล่าวคือ ทุกกลุ่มตัวอย่างมีรายได้และทรัพย์สินที่หาได้ทั้งชีวิตไม่เพียงพอต่อการบริโภค มีเพียง 3 กลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงเท่านั้น ที่มีเงินออมเหลืออยู่เมื่อเกษียณ แต่ไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคหลังเกษียณเกิน 15 ปี โดยเหตุผลที่สำคัญคือ
- รายได้ของครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ แทบจะไม่เติบโตตั้งแต่เริ่มต้นทำงานจนวัยเกษียณ
- การออม พบว่าครัวเรือนที่สามารถออมเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ มีเพียง 25% ของกลุ่มตัวอย่าง ขณะที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 40% ไม่มีการวางแผนและออมเพื่อการเกษียณ
- ภาระหนี้ต่อรายได้อยู่ในระดับสูง
- การใช้จ่าย พบว่า ครัวเรือนไทยโดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ต่ำ ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการศึกษา การพัฒนาตนเองและลูกหลานค่อนข้างน้อย บั่นทอนโอกาสในการพัฒนาทั้งผลิตภาพและระดับรายได้ในอนาคต
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ข้อมูลที่นักวิชาการรายงานในตอนนั้นคืออายุขัยเฉลี่ยของผู้สูงอายุไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าหรือ เท่ากับอีก 15 ปีข้างหน้านับจากตอนนี้จะอยู่ที่ 120 ปี แปลว่าอัตราส่วนชีวิตก็จะเปลี่ยนจาก 20-40-20 เป็น 20-40-60 เท่ากับเราทำงานหาเงิน 40 ปี แต่เงินที่เราหาเราต้องบริหารไว้ใช้เป็นระยะเวลา 100 ปี คือ 40 ปีในวัยทำงานและ 60 ปีในวัยเกษียณ ระยะเวลาใช้เงินหารด้วยระยะเวลาหาเงิน จะเท่ากับ 100/40 = 2.5 เท่า หรือเงินที่หา 1 เดือนต้องบริหารให้พอใช้ 2.5 เดือน ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
เมื่อเห็นแนวโน้มของปัญหาที่รุนแรงจนน่าเป็นห่วงมากขนาดนี้ การวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณจึงไม่ใช่เรื่องที่จะใจเย็นได้เลย
แล้วเราจะสามารถบริหารเงินอย่างไรให้สามารถช่วงวิกฤตการเงินวัยเกษียณไปได้ ก็คงจะหนี้ไม่พ้น วิธีดังต่อไปนี้ครับ
- ออมให้เร็วที่สุด เริ่มออมให้เร็วที่สุด ยิ่งออมตอนเริ่มทำงานได้ยิ่งดี แต่ข่าวร้ายคือ เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปออมตอนเริ่มทำงานได้ ดังนั้นที่ดีที่สุด คือ เริ่มออมตอนนี้เลย
- เพิ่มระยะเวลาการทำงาน เมื่อเราไม่สามารถย้อนกลับไปออมได้ อีกวิธีคือ เพิ่มระยะเวลาการทำงานให้มากขึ้น นอกจากช่วยให้มีเงินออมมากขึ้น ยังช่วยลดช่วงเวลาหลังเกษียณลงด้วย แต่ปัญหาคือ โอกาสที่คนเกษียณจะได้ทำงานนั้นมีน้อยลงเรื่อยๆ นอกจากการเป็นนายของตัวเอง ซึ่งจะต้องวางแผนแต่เนิ่นๆ ก่อนเกษียณ
- ออมให้มากที่สุด อะไรที่ไม่จำเป็นก็อย่าซื้อ เก็บออมเงินดีกว่า อย่ากลัวตายไปไม่ได้ใช้ ไม่ตายแต่ไม่มีเงินใช้น่ากลัวกว่าเยอะครับ
- ออมให้ผลตอบแทนสูงที่สุด สิ่งมหัศจรรย์ที่ไอน์สไตน์ยกย่อง คือ ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น ยิ่งผลตอบแทนยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งระยะเวลาการออมยาวเท่าไหร่ เงินที่ได้ในอนาคตจะมากเท่านั้น
ท่านที่สนใจบทความทางการเงินที่ผมได้เขียนเองและได้รวบรวมจากแหล่งต่างๆ สำหรับเผยแพร่ให้ท่านผู้สนใจทุกท่าน ขอเชิญไปกด Like ได้ที่ page ใน facebook ชื่อ Sathit CFP เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารต่อไปได้ครับ


