วีเอสไอ ยูเนี่ยนไทย ประมงไทยเจ้าแรกในทวาย
โครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวาย บนพื้นที่ 197 ตร.กม. 1 ใน 3 โครงการขนาดใหญ่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone)
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล
โครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวาย บนพื้นที่ 197 ตร.กม. 1 ใน 3 โครงการขนาดใหญ่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) ที่มีบทบาทสำคัญด้านยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจเมียนมา โดยบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ไอทีดี) และคู่สัญญากลุ่มธุรกิจร่วมทุนที่จดทะเบียนในเมียนมา บริษัท เมียนทวาย อินดัสเทรียล เอสเตท (เอ็มไออี) ผู้รับสัมปทานโครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับพื้นที่และก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมด้านต่างๆ จากทัพนักลงทุนต่างชาติ โดยมีบริษัท วีเอสไอ ยูเนี่ยนไทย ธุรกิจสัญชาติไทยรายแรกที่ได้จรดปากกาเซ็นสัญญาเข้าไปลงทุนในโครงการ
สมชัย เอี่ยมอิ่มจิตต์ ประธานกรรมการ บริษัท วีเอสไอ ยูเนี่ยนไทย อดีตประธานหอการค้าจังหวัดระนอง 3 สมัย กล่าวว่า สำหรับการเข้าไปลงทุนธุรกิจต้นน้ำด้านประมงในเมียนมาผ่านโครงการดังกล่าวนั้น ด้วยมองเห็นโอกาสทางธุรกิจด้านวัตถุดิบการหาปลาในน่านน้ำเมียนมาที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ โดยจะนำประสบการณ์การทำธุรกิจประมงหลายสิบปี จากฝั่งไทย-เมียนมา ในสมัยก่อนที่ยังให้สิทธิการประมงต่างชาติ แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปเกือบ 15 ปีที่ผ่านมา เพื่อนำมาปรับใช้กับการทำธุรกิจในเมียนมา
“จากพื้นฐานการทำธุรกิจประมงในฝั่งไทยทั้ง จ.ระนอง และมหาชัย จ.สมุทรสาคร มาหลายสิบปี โดยรับซื้อวัตถุดิบจากชาวประมงเมียนมาเพื่อส่งต่อและทำตลาด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานี้บ้านเราค่อนข้างมีปัญหาเยอะ อย่างด้านกฎหมายประมงใหม่ เช่น การปิดอ่าวที่จะเริ่มตั้งแต่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป ที่ส่วนหนึ่งมองว่าจะเป็นอุปสรรคทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจไทยในด้านนี้ลำบากขึ้น” สมชัย เสริม
นอกจากนี้ ปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ช่องทางการหาวัตถุดิบขาดแคลนขึ้น บริษัทจึงได้วางแผนธุรกิจใหม่ พร้อมเข้าไปรับซื้ออาหารทะเลในเมียนมา โดยเฉพาะในกรุงย่างกุ้ง และ มะริด ที่พบว่าจะมีวัตถุดิบมากที่สุด และเริ่มเห็นโอกาสว่าหากมีฐานการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำอยู่ที่เมียนมา ก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้นในการทำตลาดได้มากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ทำสัญญาเช่าพื้นที่ 10 ไร่ในโครงการ เป็นระยะเวลา 50 ปี และต่อสัญญา 25 ปี รวมระยะเวลา 75 ปี เพื่อเข้าไปดำเนินธุรกิจประมงในเมียนมาอย่างจริงจัง พร้อมเตรียมสร้างโรงงานห้องเย็น 1 แห่ง โรงงานน้ำแข็ง 1 แห่ง คาดจะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 60 ตัน/วัน และโรงงานแปรรูป 1 แห่ง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตมากกว่า 1,000 ตัน/วัน
บริษัทมองว่าหากวัตถุดิบอยู่ที่ไหน ก็จะต้องเข้าไปให้ถึงแหล่ง เพราะหัวใจของอาหารทะเล คือ ต้องการความสดของวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้การเข้าไปลงทุนในเมียนมาผ่านโครงการดังกล่าว บริษัทยังได้เปรียบจากต้นทุนด้านแรงงานชาวเมียนมาซึ่งอยู่ที่ราว 3.5-4 เหรียญสหรัฐ/วัน หรือไม่ถึง 120 บาท/วัน ที่สำคัญยังเป็นแรงงานที่มีความชำนาญและทักษะ รวมถึงคุ้นเคยกับนายจ้างชาวไทยมาพอสมควร
ขณะเดียวกัน ยังรวมถึงต้นทุนการขนส่งสินค้า (โลจิสติกส์) ที่ต่ำกว่าผ่านโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และการได้สิทธิทางการค้าในการทำตลาดสินค้าประมง เพื่อส่งออกไปยังตลาดในสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐได้อีกด้วย ซึ่งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อธุรกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สมชัย ยอมรับว่า ยังมีจุดด้อยทางธุรกิจ คือ จะต้องมีการเตรียมด้านบรรจุภัณฑ์ (แพ็กเกจจิ้ง) หีบห่อต่างๆ ให้มีความพร้อมจากไทย ด้วยจะต้องลงทุนใหม่หมด ซึ่งที่นี่จะเป็นการลงทุนที่ไม่มีการให้วงเงินสินเชื่อ (เครดิตไลน์) หรือการขอสินเชื่อธนาคารที่มาจากบ้านเรา จากปัจจัยข้างต้นในจุดนี้ อยากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วยเช่นกัน ไปจนถึงสิทธิการคุ้มครองทางธุรกิจร่วมกัน เพื่อป้องกันความกังวลจากนักลงทุนต่างชาติกรณีการเข้าไปลงทุนในเมียนมาแล้วอาจจะถูกยึดกิจการ ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายในอดีตที่ยังคลุมเครือ
สำหรับโครงการดังกล่าวยังรอการส่งมอบอย่างเป็นทางการจากผู้รับสัมปทานพัฒนาโครงการ ในอนาคตบริษัทยังมีแผนรวบรวมพันธมิตรธุรกิจจากไทยเข้าร่วมกลุ่ม (คลัสเตอร์) โรงงานผลิตสินค้าอาหารทะเลแปรรูป อย่างปลาหมึกแห้ง ปลาเค็ม ฯลฯ หรือธุรกิจอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน อย่างปลากระป๋องไปจนถึงการขยายวัตถุดิบอื่นที่ยังมีอยู่อีกมากในเมียนมา เช่น มะพร้าว เป็นต้น
ปัจจุบันเมียนมายังเป็นแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบใหม่ๆ อีกจำนวนมาก ที่ดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปขยายกิจการ พร้อมคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนทางธุรกิจจากการเข้าไปลงทุนธุรกิจในโครงการได้ภายใน 10 ปี
สมชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงบรรยากาศการลงทุนในเมียนมาขณะนี้ หลังจากที่ถิ่นจอ ประธานาธิบดีเมียนมาที่เข้ามาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมียนมา พร้อมการแต่งตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัญญาณบวกที่ดีในภาพรวมหลายๆ ด้าน
โดยเฉพาะด้านการลงทุนทางเศรษฐกิจที่จะขยายตัวขึ้นไปอีกจากความสนใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาในเมียนมามากขึ้นนับจากนี้ไป


