posttoday

เศรษฐกิจจุลภาคสำคัญต่อการลงทุนอย่างไร

09 ตุลาคม 2558

โดย สมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด

โดย สมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด

สวัสดีครับ ฉบับนี้ ผมขอเล่าเรื่องราวย้อนอดีตซักนิดนะครับ   สมัยผมเป็นเด็กเพื่อนของผมมักจะเล่าให้ผมฟังว่าคุณยายของเขาท่านจะคอยสอนให้เก็บสะสมเหรียญสตางค์เพื่อหยอดกระปุกโดยให้ฝึกเป็นนิสัย  ส่วนคุณยายเองก็จะมีกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ๆ ไว้คอยเก็บเหรียญเช่นเดียวกัน  ซึ่งพอผมมองย้อนกลับไปแนวคิดที่คุณยายของเพื่อนสอนตอนนั้นก็ถูกต้องนะครับ เพราะสมัยก่อนข้าวของเครื่องใช้หรืออาหารการกินยังมีราคาถูก สามารถจ่ายด้วยเหรียญก็เพียงพอโดยแทบจะไม่ต้องจ่ายด้วยแบงก์เลย  อย่างน้ำอัดลมสีดำเย็นซ่าชื่นใจที่เราคุ้นเคยกันดี สมัยนั้นขายอยู่เพียงขวดละประมาณ 3 บาทเองครับ จึงทำให้เหรียญที่เก็บสะสมเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามกาลเวลา

เรื่องนี้สะกิดใจผมขึ้นมาถึงเรื่องราวที่ดีในอดีต สมัยก่อนถ้าพูดถึงเศรษฐกิจภาคครัวเรือน  ส่วนใหญ่ทุกบ้านจะบริหารจัดการรายรับรายจ่ายเหมือนเป็นเรื่องที่ปลูกฝังกันมา เรียกได้ว่าแต่ละคนจะคอยดูแลงบดุลส่วนบุคคลเป็นอย่างดี ทั้งที่ในสมัยนั้นเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างเฟื่องฟูมาก ซึ่งอัตราการขยายตัวของ GDPน่าจะอยู่ที่ระดับ 10% ต่อปีได้เลยครับ

ตัดกลับมาปัจจุบันกันบ้าง  ทุกท่านเห็นอะไรครับ  เศรษฐกิจโดยรวมกำลังอยู่ในภาวะที่น่ากลุ้มใจ ไม่มีเงินเฟ้อ ไม่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่มีการขาดแคลนแรงงาน และไม่มีการขาดแคลนเงินทุน ... นี่มันยุคอะไรกันหนอ  และที่ร้ายคือ นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือเรื่องจริงครับ สิ่งที่เราทุกคนเผชิญอยู่ตอนนี้เป็นความท้าทายในเรื่องของอำนาจความเท่าเทียมในการซื้อ หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า Purchasing Power Parity ต้องไม่มีการเก็บภาษีเกินจริง ต้องไม่มีเงื่อนไขทางการค้า

ในปัจจุบันการตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจ และการบริหารจัดการเงินลงทุนเกี่ยวข้องกับภาพเศรษฐกิจมหภาคน้อยมากและจะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพราะว่าเศรษฐกิจโดยรวมกำลังย่ำแย่นะครับ แต่เป็นเพราะว่าปัจจัยด้านมหภาคนั้นส่งผลต่อภาคธุรกิจจริง การลงทุนและการออมน้อยมากจริง ๆ ครับ ถ้าท่านได้เคยตั้งตารอคอยให้อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ท่านก็ยังตั้งความหวังเรื่องนี้อยู่ใช่มั้ยล่ะครับ

แท้จริงแล้ว สิ่งที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพย่อย หรือที่เรียกว่าเศรษฐกิจจุลภาค หรือภาพของงบดุลภาคครัวเรือนที่แข็งแกร่งนั้น มันคือส่วนเพิ่มของสิ่งต่าง ๆ มากกว่าครับ ไม่ว่าจะเป็นความพอใจส่วนเพิ่ม ต้นทุนส่วนเพิ่ม รายรับส่วนเพิ่ม ซึ่งมันคือส่วนเพิ่มในทุกด้าน เหมือนกับเวลาที่เราจะตัดสินใจลงทุนในตลาดทุน เราก็จะเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลกำไรส่วนเพิ่มดีที่สุด และมีประสิทธิภาพในการลดต้นทุนส่วนเพิ่มได้ดีที่สุด เป็นต้น

แล้วการลงทุนประเภทไหนที่จะตอบโจทย์ความต้องการของเรานั้นได้หมด  ผมตอบได้เลยครับว่าในปัจจุบันถ้าต้องการคำตอบที่ตอบโจทย์ท่านได้ทั้งหมดนั้น อาจจะเป็นไปได้ยากสักหน่อยแต่ไม่ใช่ว่าไม่ได้  ที่ตอบอย่างนั้นเพราะว่าการลงทุนในแต่ละประเภทมีความเสี่ยงแตกต่างกันไป  ผลตอบแทนก็จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้  สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีประสบการณ์แต่มีเป้าหมายในใจแล้ว  การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็สามารถตอบโจทย์ท่านได้เป็นอย่างดี  เพราะการลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการนั้น นอกจากจะมีผู้เชี่ยวชาญดูแลการลงทุนให้ท่านแล้ว  ยังมีกองทุนหลากหลายประเภทให้ท่านเลือกลงทุนได้อย่างหลากหลาย  โดยปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ ก็ได้มีโอกาสนำเสนอกองทุนที่หลากหลายด้วยเช่นกัน ทั้งกองทุน asset allocation กองทุนตราสารทุนแบบ Thematic กองทุนสินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ อาทิ สินค้าโภคภัณฑ์ โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเป็นทางเลือกเสริมให้นักลงทุนในสภาวะตลาดเช่นนี้ครับแต่นักลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง  ก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยทุกครั้งนะครับ

สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนั้น  สุดท้ายผมต้องการจะบอกว่าส่วนใหญ่สิ่งที่คนเรามักจะคำนึงถึงนั้น คือ เราจะมีเงินเพียงพอเพื่อซื้อสิ่งที่เราต้องการได้หรือไม่  สำหรับตัวผมถ้าย้อนไปตอนเป็นเด็ก ผมก็จะสนใจแค่ว่าขอเพียงผมมีเงิน 3 บาทที่จะซื้อน้ำอัดลมสีดำมาดื่มดับร้อนได้ ผมก็พอใจแล้วครับ
 
 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา