คุณสมบัติของผู้จัดการกองทุน
โดย บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต
โดย บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต
เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนผมได้เขียนในมุมการทำงานของผู้จัดการกองทุน การเลือกสรรหุ้น การติดตามการทำงานของผู้จัดการกองทุน ตลอดจนการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วันนี้ก็ขอกลับมาพูดใหม่ในประเด็นที่ว่าถ้าอยากจะเป็นผู้จัดการกองทุนต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง.. เพราะมีหลายคนอาจกำลังจะวางแผนอนาคต หรือ อยากเปลี่ยนมาทำงานในสายนี้ครับ
ในเบื้องต้นผู้ที่จะทำหน้าที่บริหารกองทุนได้ต้องเป็นผู้จัดการกองทุนเท่านั้น ซึ่งผู้จัดการกองทุนทุกคนต้องมีใบอนุญาตผู้จัดการกองทุน (License) ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนเรื่องหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ซึ่งการขึ้นทะเบียนขอใบอนุญาตนั้น จะต้องมีคุณสมบัติสำคัญสามส่วน คือ ส่วนของความรู้ ประสบการณ์ และจรรยาบรรณในวิชาชีพ
ในด้านความรู้จะต้องสอบผ่านหลักสูตร Chartered Financial Analyst (CFA) ของ CFA Institute หรือ หลักสูตร Certified Investment and Securities Analyst (CISA) ของศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสถาบันทั้งคู่จะเป็นการสอบความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์และบริหารการลงทุนโดยแบ่งเป็น 3 ระดับ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่จะเป็นผู้จัดการกองทุนมีความรู้ความสามารถที่เป็นมาตรฐานยอมรับได้ ส่วนในด้านประสบการณ์ทำงานก็มีข้อกำหนดไว้ว่า ถ้าสอบผ่าน CFA หรือ CISA ในระดับ 1และ 2จะต้องมีประสบการณ์ในงานด้านการวิเคราะห์ตลาดการลงทุน การบริหารความเสี่ยง หรือการวิจัยอย่างน้อย 2 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าได้สั่งสมประสบการณ์มามากพอที่จะดูแลเงินของผู้ลงทุน ส่วนถ้าสอบ CFA หรือ CISA ผ่านทั้ง 3ระดับ ไม่ต้องมีประสบการณ์ก็ได้ครับแต่ไม่ว่าจะสอบผ่าน CFA หรือ CISA ในระดับไหน หรือมีประสบการณ์ในงานด้านนี้มากี่ปีก็ตาม ทุกคนจะต้องสอบจรรยาบรรณในวิชาชีพซึ่งจัดสอบโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุนให้ผ่านเหมือนกันหมดครับ แสดงให้เห็นว่าเรื่องจรรยาบรรณเป็นเรื่องสำคัญที่คนจะเป็นผู้จัดการกองทุนทุกคนต้องมีและเมื่อคุณสมบัติพร้อม...การขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงาน ก.ล.ต.นี้ไม่ยากเลยครับ แต่ก่อนเคยใช้เวลา 30 วัน ปัจจุบันเหลือเพียง 5 วันทำการเท่านั้น (หากส่งเอกสารครบ)
แม้ว่าการมีใบอนุญาตเป็นคุณสมบัติของผู้จัดการกองทุนที่กำหนดไว้ตามกฎหมายและหนึ่งในเงื่อนไขนั้นมีเรื่องของการสอบจรรยาบรรณอยู่ด้วยก็ตาม แต่การที่ บลจ. จะเลือกใครสักคนมาเป็นผู้จัดการกองทุนเก็คงไม่ได้ดูแค่นั้นนะครับ กว่าที่เราจะตัดสินใจรับผู้จัดการกองทุนสักคนมาดูแลเงินของกองทุนหรือลูกค้าก็ต้องดูทั้งแนวคิด นิสัยใจคอ ความสามารถตลอดจนวุฒิภาวะ ซึ่งบางทีก็อาจใช้เวลาสัมภาษณ์พูดคุยรวมทั้งเลือกผู้สนใจสมัครมากกว่าการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตผู้จัดการกองทุนเสียอีกครับ
เมื่อแต่ละ บลจ. มีผู้จัดการกองทุน ซึ่งย่อมมีมากกว่าหนึ่งคน สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือ บลจ. จะบริหารผู้จัดการกองทุนเหล่านั้นกันอย่างไร จะเป็นลักษณะตั้งเป็นคณะกรรมการพิจารณาการลงทุน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า IC:Investment Committee เพื่อคอยติดตามการทำงานของผู้จัดการกองทุน ให้นโยบาย ให้แนวทางการลงทุน กำหนดกรอบการลงทุน หรือมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน หรือที่เรียก CIO: Chief Investment Officer ซึ่งในความหมายก็คือหัวหน้าผู้จัดการกองทุนทั้งหลายนั่นเอง อีกชั้นหนึ่ง หรือมีทั้ง IC และ CIO ด้วยก็ได้
บลจ.หลายแห่ง CIO ก็เป็นผู้จัดการกองทุนเองด้วย คือ บริหารกองทุนใดกองทุนหนึ่งหรือหลายกองทุน บาง บลจ. CIO ก็ไม่ได้บริหารกองทุนใดเฉพาะ แต่บริหารในภาพรวมของทุกๆ กองทุน รูปแบบการจัดการจึงมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับโครงสร้างของแต่ละ บลจ.
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ผู้จัดการกองทุน และ CIO ก็ต้องมีใบอนุญาตจัดการลงทุน หากไม่มีเพราะไม่ได้อยู่ในธุรกิจจัดการกองทุนมาก่อน ก็ต้องไปทำให้มีก่อนที่จะมาทำหน้าที่ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งผมได้เรียนในตอนต้นแล้วว่า ถ้าสมบัติครบ การขอขึ้นทะเบียนก็ไม่ได้ใช้ระยะเวลานานมากนัก
จากประสบการณ์ของผมในธุรกิจจัดการลงทุนมากว่า 23 ปี งานของผู้จัดการกองทุนเป็นงานที่ท้าทายมาก เป็นงานที่ยากและต้องใช้ทั้งความรู้ความสามารถ ต้องตื่นตัว ต้องมีความรับผิดชอบสูงรวมทั้งต้องมีวุฒิภาวะที่หนักแน่นและมีจรรยาบรรณ
และ บลจ. ทุกแห่ง ก็ต้องมุ่งค้นหา หรือสร้างสรร ให้ได้บุคคลากรที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่งมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนทั้งในทางกฏหมายและด้านคุณภาพ รวมทั้งรักษาผู้จัดการกองทุนเหล่านั้นให้อยู่กับองค์กรให้นานที่สุดครับ
สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ที่ [email protected]


