บทเรียนจากปีก่อน
โดย...เสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน ก.ล.ต.
โดย...เสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน ก.ล.ต.
ก่อนจะเริ่มก้าวต่อไปในปี 2558 มาเหลียวหลังดูสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ให้อดีตสอนบทเรียนเพื่ออนาคตที่ไม่ผิดพลาด สามเรื่องเด่นที่ ก.ล.ต. หยิบยกมาเล่านี้ด้วยหวังว่าในปีนี้และต่อ ๆ ไป พวกเราทุกคนจะไม่ตกเป็นเหยื่อการเอาเปรียบ การหลอก การโกง ที่อาจเกิดขึ้นกับการลงทุนของเราค่ะ
“ชักชวนให้ลงทุนโดยไม่มีใบอนุญาต” เป็นเรื่องที่มีผู้ตกเป็นเหยื่อมากที่สุด ด้วยรูปแบบที่เอา หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ดัชนี สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์สหรือออปชั่น) ที่อ้างอิงราคาทองคำ น้ำมัน หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา มาบังหน้าให้คนเข้าใจว่าจะเอาเงินไปลงทุนในสิ่งเหล่านั้น และโฆษณาความเก่งและความสำเร็จโดยใช้ช่องทางที่เข้าถึงตัวกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่โทรศัพท์ อีเมล ไปจนถึงโพสต์ในเว็บบอร์ดชื่อดัง
การชักชวนนี้เบื้องหลังมักเป็นการหลอกลวง เอาเงินไปลงทุนจริงบ้างเล็กน้อยหรือไม่ได้ลงทุนจริงเลย แต่ใช้เงินของเหยื่อรายใหม่ไปจ่ายเป็นผลตอบแทนให้เหยื่อรายเก่า สักพักหนึ่งก็จะหายตัวไป
กลวิธีการหลอกไม่ยากที่เราจะสังเกตรู้ นั่นคือ (1) ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง เช่น ปีละมากกว่า 20% (เริ่มมีกรณีที่ทำให้สมจริงโดยเสนอผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากไม่มากนัก เช่น 8 – 10%) (2) อ้างว่ามีใบอนุญาตจากต่างประเทศ หรือจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งที่ถูก ต้องเป็นใบอนุญาตของหน่วยงานที่กำกับดูแลโดยตรง เช่น ก.ล.ต. ของไทย และ (3) อ้างถึงผู้ที่ได้เงินจากการลงทุนนี้มาแล้ว ซึ่งมักเป็นญาติพี่น้องของคนชักชวนเอง พอเราเช็คไปก็จะได้ข้อมูลที่เขาเตี๊ยมกันไว้แล้ว
ต่อมาเป็นเรื่อง “คนที่ไว้ใจ (สุดท้ายอาจร้าย) ที่สุด” จำนวนเหตุการณ์ที่มาร์เก็ตติ้งใช้บัญชีซื้อขายหุ้นของลูกค้าเกิดขึ้นแทบไม่ลดลง แต่ละรายที่เสียหายนับว่ามีมูลค่าสูง เริ่มต้นจากความคุ้นเคย พัฒนาเป็นความไว้ใจและคาดหวังว่าจะได้กำไรมากกว่าตัดสินใจเอง ลูกค้ายกพอร์ตให้มาร์เก็ตติ้งซื้อขายแทน พอลูกค้าปล่อยปละละเลยไม่ตรวจสอบข้อมูลการซื้อขาย จึงกลายเป็นเปิดช่องให้ทุจริตได้ง่าย แล้วจบลงด้วยความเสียหาย
เหตุการณ์มีตั้งแต่ (1) ซื้อขายให้ถี่ๆ (ได้ค่าคอม) ถ้ากำไรแบ่งกัน ขาดทุนลูกค้ารับไป (2) ขอยืมบัญชีไว้ซื้อขายให้ลูกค้ารายอื่น บางรายเอาไปใช้ปั่นหุ้นและฟอกเงิน (3) โอนหุ้นออกจากบัญชีลูกค้าไปเลย และ (4) ลูกค้าฝากสมุดบัญชีเงินฝากไว้ พอขายหุ้นได้ก็ถอนเงินไปใช้
ในปี 2557 ก.ล.ต. ได้ตรวจพบและลงโทษมาร์เก็ตติ้งที่กระทำผิดจำนวน 42 ราย พฤติกรรมที่เจอมากคือ ตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์แทนลูกค้า ซึ่งต้องรีบจัดการ ถือว่าตัดไฟเสียแต่ต้นลมก่อนที่ผู้ลงทุนจะเสียหายหากมีการทุจริตต่อไป
ปิดท้ายด้วยข่าวดังส่งท้ายปี “หุ้นนอกตลาด” ที่เคยปรากฏมีอยู่ 3 กรณี คือ (1) หุ้นที่กระจายสู่ประชาชน (IPO) แล้ว และกำลังรอเข้าจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (2) หุ้นที่โดนแขวนป้ายห้ามซื้อขาย (SP) มานาน และมีข่าวว่ากำลังจะกลับมาซื้อขาย และ (3) หุ้นที่ยังไม่ได้แม้แต่จะ IPO ซึ่งมีทั้งที่มีบริษัทและหุ้นนั้นจริง และไม่เคยมีบริษัทที่ออกหุ้นนั้นเลยหุ้นนอกตลาดที่เป็นข่าวนี้ทำให้ผู้ลงทุนสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่จริงแล้วไม่มีหุ้นที่บอกขายมาส่งมอบให้
หรือที่สัญญาว่าจะขายในวันแรกที่เข้าซื้อขายแล้วจะโอนกำไรให้นั้น ทำไม่ได้จริงเพราะไม่มีหุ้น หรือผู้ซื้อได้รับมอบหุ้นแต่หุ้นนั้นไม่สามารถจดทะเบียนให้ซื้อขายได้เสียที การหลอกลวงของหุ้นนอกตลาดในลักษณะนี้ ผู้เสียหายต้องไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอง
หากย้อนดูต้นเหตุของเรื่องราวเหล่านี้ ถ้าเรารู้ทันและทัดทานตัวเองด้วยคำถามที่ว่า (1) ผลตอบแทนที่สูงขนาดนี้จะได้มาง่ายๆ จริงหรือ? และ (2) เราไว้ใจคนที่มาชักชวนง่ายเกินไปหรือเปล่า? เหตุการณ์ร้ายๆ ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเรา
ในเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. www.sec.or.th มีข้อมูลหลายอย่างที่จะช่วยคุณได้ ได้แก่ * investor alert ที่บอกรายชื่อบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ * ข้อมูลหุ้น IPO พร้อมกับรายชื่อผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ * ข่าว ก.ล.ต. บอกเล่าพฤติกรรมและการลงโทษผู้กระทำผิดในตลาดทุน และ * สายด่วน โทร.1207 เพื่อตรวจสอบทุกข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ
“ก.ล.ต. อยากให้คนไทยลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง”


