ลือส่งเดช
ทั้งข่าวปล่อย ข่าวลือ สับสนปนเปกันไปหมด
โดย...ขำ เคืองใจ
ทั้งข่าวปล่อย ข่าวลือ สับสนปนเปกันไปหมด
สัปดาห์ก่อนมีอยู่ข่าวนึง สื่อสารมวลชนนำไปรายงานเป็นตุเป็นตะ กรณี “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ออกมาเตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันให้ระมัดระวังปฏิวัติซ้อน
สำหรับคนวงนอก ติดตามข่าวอย่างผิวๆ ออกอาการตื่นตะลึงสิครับ
โดยเฉพาะตลาดหุ้นไวต่อกระแส เขย่ากระดานหุ้นสั่นสะเทือน
ถ้าวิเคราะห์กันให้ดีๆ ย่อมพบว่า ไม่มีเหตุปัจจัยใดโน้มนำไปสู่ปฏิวัติซ้อน
ทั้งเสถียรภาพรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถือคัมภีร์ประกาศิตกระชับอำนาจไว้ในมือ อย่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 44 กำหนดให้อำนาจหัวหน้า คสช. ควบคุมระงับยับยั้งเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ
อีกทั้งมีอาวุธอย่างกฎอัยการศึกที่ยังไม่ประกาศยกเลิก สามารถกำราบกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองให้นั่งพับเพียบเรียบร้อย
หรือจะเป็นการจัดวางตัวบุคลากรคุมกลไกโครงสร้างอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง ฝ่ายกุมกำลัง หรือ ครม. สนช. สปช. ล้วนแต่เป็นคนที่มองตาแล้วรู้ใจ
ฉะนั้นแนวโน้มปฏิวัติซ้อนอยู่ในระดับยากมั่กๆ
แต่ผลจากข่าวปล่อยทำให้บางกลุ่มบางพวกได้ประโยชน์
ได้ประโยชน์ทางการเมืองเขย่ารัฐบาลให้สั่นไหว
ได้ประโยชน์จากวิชามารในการแสวงหารายได้ทางการลงทุน
เฉกเช่นสองสามวันนี้ กระแสข่าวลือหนักหน่วง ซึ่งผลของมันเข้าสูตรเดิมเป๊ะ! ส่งผลให้กระดานหุ้นตัวแดงพรึ่บ ตกลง 100 กว่าจุด
กระทั่งนายกฯ ประยุทธ์ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ “ลือกันไปส่งเดช” ก่อนที่จะให้ผู้เกี่ยวข้องออกมาสยบข่าวพัลวัน
หลายต่อหลายครั้งเห็นได้ว่าส่วนราชการที่รับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงมักอยู่ในลักษณะตั้งรับสารพันข่าวไม่เป็นมงคลต่อประเทศเสียส่วนใหญ่
ยกตัวอย่างกรณีกระทรวงการคลังออกเอกสารข่าวชี้แจงเกี่ยวกับเงินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นำไปช่วยท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ใช้ในการดำรงชีพ และดูแลครอบครัว
แม้เป็นเรื่องน่าชื่นชมที่หน่วยงานราชการชี้แจงข้อเท็จจริงหลังจากสร้างความสับสนอยู่นาน
อีกนั่นแหละเป็นตัวอย่างตั้งรับข่าวลือที่ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว... แต่มาช้าก็ดีกว่าไม่มาเนอะ...
จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องจัดระบบหน่วยงานชี้แจงข้อเท็จจริงเชิงรุก
อย่าให้เป็นลักษณะ “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”
ปล่อยให้ร่ำลือไปเรื่อย ผู้เกี่ยวข้องในรัฐบาลเพิ่งออกมาทำความเข้าใจ แต่ความเสียหายก็กู่ไม่กลับแล้วครับ


