ตุ๋นแล้วรวยช่วยไม่ได้
ธุรกิจอะไรที่ทำแล้วร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อ คำตอบก็น่าจะเป็นธุรกิจที่เลี่ยงกฎหมายและใช้ความไม่รู้ของประชาชนให้เป็นประโยชน์
โดย..ณ กาฬ เลาหะวิไลย
ธุรกิจอะไรที่ทำแล้วร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อ คำตอบก็น่าจะเป็นธุรกิจที่เลี่ยงกฎหมายและใช้ความไม่รู้ของประชาชนให้เป็นประโยชน์
ตัวอย่างหมาดๆ ก็คือ เมื่อวานนี้ ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ จ.พิษณุโลก โดยได้บุกค้นโกดังผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โอ้โห บายปูนิ่ม มายแสลมมี่ รสมิกซ์ ฟรุ้ต ก่อนขนย้ายและยึดสินค้าใส่รถบรรทุกทหาร 2 คัน
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ใช้ชื่อว่า โอโห้ เป็นสินค้าที่ดังมากในโลกออนไลน์ มีผู้ติดตามแฟนเพจหลายล้านคน
แน่นอนผลที่ตามมาก็คือผู้ที่เกี่ยวข้องร่ำรวยมหาศาล จากที่ไม่มีอะไรเลย เพียงเวลาไม่กี่ปีก็ได้เงินไปหลายร้อยล้านบาท
วิธีการขายผลิตภัณฑ์ของโอโห้ ก็คือการใช้เฟซบุ๊กบรรยายสรรพคุณ สร้างความน่าเชื่อถือของสินค้า ทำให้ยอดขายเติบโตเท่าตัวแทบทุกเดือน
แต่สิ่งที่คนไม่รู้ก็คืออันตรายของสินค้า
ผลิตภัณฑ์ 3 รายการที่นำออกขาย ถูกนำไปตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก และพบสารไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเจือปนอยู่
สารดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดโรคความดันสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และท้องผูก อีกทั้งสารดังกล่าวยังส่งผลเสียต่อร่างกายของผู้ป่วย เป็นโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันสูง โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคไต โรคต้อหิน รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร โดยทั้งโลกได้เลิกใช้ตั้งแต่ปี 2553 แต่กลับลักลอบนำเข้ามาใช้ในไทย
ขณะเดียวกัน ในการขายสินค้ากลับมีการปลอมแปลงสถานที่ผลิต ใช้เลขหมาย อย.ของสินค้าอื่นมาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย กลายเป็นอาหารปลอม หลอกลวงผู้ซื้อ
ทั้งหมดจึงเป็นเหตุให้เกิดการบุกเข้าไปยึดสินค้าที่มีอยู่ในโกดัง และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนั้นยังสั่งให้ยุติการเผยแพร่ข้อมูลในเฟซบุุ๊ก รวมถึงให้กรมสรรพากรตรวจสอบเส้นทางการเงินของตัวแทนจำหน่าย ลูกจ้างพนักงานบริษัท 3,000-4,000 คนทั่วประเทศ
นี่แหละคือการหากินกับการไม่รู้ของประชาชน โดยใช้สื่อดิจิทัลเข้ามาเป็นกลไกสำคัญ
ลำพังประชาชนเองก็ยากที่จะตรวจสอบ แม้จะมีเลขหมาย อย. ก็กลายเป็นเลขหมายปลอม
แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อสินค้าเหล่านี้้อีก
เพราะดูแล้วเห็นทีไม่แคล้วจะเป็นหมูให้โดนหลอกอยู่ร่ำไป


