นอกสภาเร่งเร้าในสภาเร่าร้อน
เลิกเพ้อเจ้อซะทีเถิด กรุณาเขย่าตัวตื่นขึ้นแก้ปัญหาบนโลกความจริงดีกว่ามั้ย เพราะสถานการณ์ในประเทศยังเอาตัวไม่รอด
โดย...อสนีบาต
ทั้งนอกสภาและในสภาช่างวุ่นวายหนอ
นอกสภาเจอเหตุการณ์เกษตรกรสวนยางพาราชุมนุมยืดเยื้อ บางกลุ่มยอมรับ บางกลุ่มรอคำตอบอีกรอบในวันที่ 14 ก.ย. เรื่องราวจะจบลงด้วยในรูปแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรือไม่
แต่สิ่งที่ทิ้งไว้คือรอยแผลบาดลึกจิตใจระหว่างคนใต้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เกิดคำถามตามมาถึงการดูแลแก้ไขความเดือดร้อน เหตุใดการแก้ปัญหาราคาผลผลิตการเกษตรภาคใต้ปล่อยยืดเยื้อจนประชาชนต้องใช้ศีรษะพุ่งชนกระบอง เรียกได้ว่าต้องได้เลือดเซ่นสังเวยกันก่อนถึงเปิดเจรจา
ความไม่เท่าเทียม เลือกปฏิบัติ กลายเป็นคำที่นำมาพูดกันทั่วในพื้นที่ภาคใต้ เปรียบเทียบกับแก้ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวให้กับเกษตรกรชาวนาอันเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่ดำเนินการแก้ไขอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านั้นนโยบายรับจำนำข้าว กำหนดราคาไว้ 1.5 หมื่นบาทต่อตัน แต่เมื่อดำเนินการไปถึงปีที่สองรัฐบาล รัฐบาลออกมายอมรับตัวเลขในบัญชีแดงเถือก ส่งผลกระทบต่อภาระการเงินการคลังประเทศ ทำให้รัฐบาลประกาศ ปรับราคารับจำนำใหม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อตัน
แต่ครั้นชาวนาขู่รวมตัวประท้วง เท่านั้นแหละรัฐบาลทำได้ ไม่ต้องซื้อเวลารอให้เกษตรกรหัวล้างข้างแตก ไม่ต้องดำริตั้งคณะกรรมการระดับรัฐมนตรี เหมือนยางคณะกรรมการแก้ไขปัญหายางพารา ในลักษณะระดมสามรองนายกฯบวกหนึ่งรมต. ได้แก่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง ยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกฯและรมว. เกษตรและสหกรณ์ วราเทพ รัตนากร รมต.สำนักนายกฯ แต่สามารถนำข้อร้องเรียนราคารับจำนำข้าวเข้าคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) จากนั้น ปั๊มเรื่องส่งครม.ทันที
บทสรุปรวดเร็วทันใจ ไม่ต้องเล่นลิ้น เจรจาต่อรองให้มากความ กลับไปยืนราคาเดิม 1.5 หมื่นบาทต่อตัน ด้วยข้อสงสัยจากที่เคยแสดงความกังวลจะเสียสมดุลการเงินการคลัง ถูกลบออกไปจากรอยหยักของสมองรัฐแล้วหรือ
ส่วนในสภา เปิดศึกแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงขั้นลงไม้ลงมือไม่เว้นแต่ละวัน มองกันที่ต้นเหตุของปัญหามาจาก สส.รัฐบาลมักอ้างข้อบังคับใช้สิทธิปิดอภิปราย ขณะที่ผู้ทำหน้าที่ประธานสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ผสมโรง นิคม ไวยรัชพานิชสั่งลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 5 เกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นวุฒิสมาชิก แสดงให้เห็นความต้องการอย่างแรงกล้าของเหล่านักการเมืองเสียงข้างมาก มีเจตนาออกแบบรัฐธรรมนูญเปิดทางสะดวกให้ผัว เมีย ภารโรง คนหิ้วกระเป๋าพาเหรดเข้ายึดกุมทั้งสภาสูงและสภาล่าง
เมื่อควบรวมกิจการสภาสำเร็จจะสั่งซ้ายหันขวาหันผ่านร่างกฎหมายเป็นไปได้อย่างคล่องตัว
ต่อไปการเลือกบุคลากรองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญสามารถกำหนดสเปกให้เป็นของพวกข้าเท่านั้น จากนั้นรัฐมนตรีหรือท่านผู้ทรงเกียรติคนใดไปทำริยำตำบอนทุจริตคอร์รัปชั่นเมื่อถูกส่งเข้าสู่กระบวนการให้องค์กรอิสระตัดสิน หรือมีมติถอดถอนก็ซ้ำรอยเหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 40 ที่มีช่องโหว่เปิดให้มีสภาผัวเมียสามารถคุมองค์กรอิสระได้สำเร็จ ถือว่าครบสูตรประชาธิปไตยในคราบเผด็จการ
ด้วยเหตุนี้ ประชาธิปัตย์จึงทำหน้าที่ทั้งค้านทั้งยื้อ แต่อย่างว่าเมื่อต้องสู้รบปรบมือเสียงข้างมากกระทำการสั่งปิดอภิปรายบ้างประธานรวบรัดลงมติบ้าง ความเป็น สส. ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ย่อมระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นธรรมดา สภาพของสภาจึงไม่ได้เป็นเวทีของผู้ทรงเกียรติในการถกเถียงแสดงความเห็นตามระบอบประชาธิปไตยอย่างมีเหตุผลกันต่อไปกลายเป็นเวทีผู้ทรงถ่อย
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ท่องคัมภีร์ "ทุกอย่างให้ไปแก้กันในสภา" แต่วันนี้เป็นที่ประจักษ์ผ่านการประชุมสภา ทั้งเสียงโห่ฮาป่า เก้าอี้ลอยละล่อง ตำรวจสภาหิ้วตัว สส. ช่างสุดแสนอัปยศสภาไทย
ทำให้นึกถึงแก๊งไอติมที่กำลังปลุกปั้น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เป็นวีรสตรีแห่งความปรองดอง เที่ยวโพนทะนาสื่อต่างประเทศท่านผู้นำยอดเยี่ยมที่หนึ่งเลย ผู้เป็นต้นคิดสภาปฏิรูป ถึงขั้นเชื้อเชิญต่างชาติหันมายึดยิ่งลักษณ์สไตล์
เลิกเพ้อเจ้อซะทีเถิด กรุณาเขย่าตัวตื่นขึ้นแก้ปัญหาบนโลกความจริงดีกว่ามั้ย เพราะสถานการณ์ในประเทศยังเอาตัวไม่รอด