อัศจรรย์รวยล้นบาตร
ความอัศจรรย์ของเณรคำแสดงถึงความไม่ปกติ แต่สังคมได้ทำให้เป็นเรื่องปกติมาหลายปีดีดัก
โดย....อสนีบาต
หากไม่เกิดเหตุรถหรูถูกเพลิงไหม้แถว ปากช่อง จ.นครราชสีมา ป่านนี้คงไม่ได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไปอีกด้านของหลวงปู่เณรคำ ภาคอัศจรรย์
สองเหตุการณ์เป็นคนละเรื่องเดียวกันแต่ถูกนำมาเชื่อมโยงกันได้ จากข่าวชวนคาใจรถหรูเลี่ยงภาษี เป็นของใครกันแน่
กดดันให้หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ตรวจสอบ ยอมรื้อขยะใต้พรม ทั้งที่รับรู้กันดีแต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงความเชื่อมโยง นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล แม้แต่พระภิกษุสงฆ์ชื่อดังครอบครอง
ในที่สุดบานปลาย กลายเป็นอีกเรื่อง
นอกจากรถหรู โผล่เครื่องบินเจ๊ต ใส่เรย์แบรนด์ หูฟังแบรนด์ดัง ถือกระเป๋าหลุยส์วิคตอง นำไปสู่การยกระดับสู่การตรวจสอบธุรกรรมการเงิน ตั้งข้อสังเกตบรรดาเงินของพุทธศาสนิกชนถูกโยกย้ายถ่ายเทเข้ากระเป๋าใครบ้าง
ถ้าย้อนกลับไป กรณีเณรคำ เป็นที่ร่ำลือในหมู่ศิษย์ยานุศิษย์ร่วมหลายปี ด้วยคำสั่งสอนที่มีกุศโลบายสร้างพลังศรัทธา ให้กับนักการเมือง ศิลปินดารา ชาวบ้านผู้มีความเชื่อปากต่อปากบอกต่อกันไป แม้แต่สถาบันการศึกษาต้องปูพรมแดงเชิญนิมนต์มาเทศนา
เพราะเชื่อในคำสอนว่าทานบารมี หนุนนำบั้นปลายชีวิตขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งไม่ได้ผิด เพราะนี่เป็นสิทธิความเชื่อที่มีอย่างเนิ่นนาน นำไปสู่การตัดสินใจร่วมบริจาคเงินนับหลายร้อยล้านสร้างศาสนสถานขยายสาขา ราวกับเฟรนด์ไชน์
อย่างไรก็ตามแต่ ความอัศจรรย์ของเณรคำแสดงถึงความไม่ปกติ แต่สังคมได้ทำให้เป็นเรื่องปกติมาหลายปีดีดัก อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น หากรถเลี่ยงภาษีไม่เกิดเพลิงไหม้เสียก่อน คงไม่มีการขยายประเด็น ไปถึง ซีรีย์รวยล้นบาตร
มองแบบปลงสภาพ แท้ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่กรณีแรก มักเกิดขึ้นอย่างเนืองๆ กับอีกหลายวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ไกลปืนเที่ยงขาดสิ่งยึดเหนื่ยวทางใจ
ดูก่อนสาธุชน เมื่อสงฆ์เป็นตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ความเลื่อมใสคือภาพแรกได้สัมผัส ความเลื่อมใสสร้างม่านบังตาบดบังการดำรงตนของสงฆ์นั้น จนแยกแยะไม่ออกระหว่างสงฆ์แท้หรือสงฆ์เทียม ถึงได้ปลุกเสกวัตถุมงคล มุ่งเน้นแต่พุทธพาณิชย์ ดำริโครงการกุฎิ ระดับ 300 ล้านบาทราวกับโรงแรมเ รับกิจนิมนต์ทัวร์ทั่วโลกบริกรรมคาถาบนรถไฟเหาะตีลังกา แวะเวียนเป่ากระหม่อมสีกาเป็นอาจิณ
อย่างนี้ยังเป็นความปกติในธรรมอีกหรือ
ว่าไปแล้วอิทธิพลความเชื่อมีกำลังเข้มแข็งกว่าความรู้ความเข้าใจผ่านกระบวนการทางการศึกษา ซ้ำร้ายองค์กรตรวจสอบสงฆ์ไร้ประสิทธิภาพ ขาดการจัดระเบียบ เป็นไปแบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ จึงทำให้สถานการณ์เลยเถิด ปรากฎการณ์"ไม่ปกติจึงกลายเป็นเรื่องปกติ”
ในความเชื่อต้องมีการพิสูจน์ตรวจสอบ ถ้าไม่มีข่าวการตรวจสอบ เณรคำและผู้เลื่อมใสคงไม่เดือดร้อน ยิ่งเหล่าผู้เกาะชายผ้าเหลืองคงเสพสุขในโลกธรรมของท่านต่อไป
ดังนั้นการตรวจสอบด้วยหลักกฎหมายทางโลกผสมวินัยทางสงฆ์ ถือว่าร่วมสร้างบุญครั้งใหญ่ให้พุทธศาสนา อย่างน้อยได้รู้ว่าหนทางนิพพานตามแบบฉบับเณรคำ หรือแม้แต่สงฆ์ภาคพิสดารตามที่ต่างๆ ไม่ได้เหนี่ยวรั้งพุทธศาสนาให้เสื่อมทรุด ไม่เกิดความระแวงแคลงใจในชายผ้าเหลือง
อีกอย่างเมื่อต้องการให้เป็นไปตามครรลอง ถึงเวลาแล้วที่สงฆ์ผู้เจริญ ได้กลับมาแสดงความบริสุทธิ์จริง ให้พุทธศาสนิกชนที่รอคอยได้ดวงตาเห็นธรรม ตามที่ท่านได้แสดงบุญญาบารมี
จริงอยู่ไม่อาจก้าวล่วงบังคับใจท่านได้ แต่ผู้เลื่อมใสปรารถนาให้ท่านได้รับกิจนิมนต์คืนสู่ประเทศไทยสักที
แหม ว่าจะไม่กล่าวแล้วเชียว แต่ครั้นได้ยินศิษย์เณรคำบอก เณรคำจะยังไม่กลับเมืองไทยหากยังไม่ได้รับความยุติธรรม ก็เลยอดนึกถึงคนทางไกลไม่ได้ เพราะมีสาวกออกมากล่าวแบบนี้เหมือนกัน นายยังกลับไม่ได้จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม
ทางโลกทางธรรมช่างไม่ต่างกันเลยหนอ