ศึกพระวิหารยกใหม่
ประเด็นปราสาทพระวิหาร เป็นสิ่งที่ต้องจับตาเสียแล้ว ภายหลังจากการแพลมๆ ข้อมูลบางประการ เหมือนกับการเกริ่นนำฉายหนังตัวอย่างออกมา
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
ประเด็นปราสาทพระวิหาร เป็นสิ่งที่ต้องจับตาเสียแล้ว ภายหลังจากการแพลมๆ ข้อมูลบางประการ เหมือนกับการเกริ่นนำฉายหนังตัวอย่างออกมา
ในการอภิปรายกลางสภาเกี่ยวกับข้อเสนอคณะกรรมาธิการปรองดองแห่งชาติ เมื่อสัปดาห์ก่อน หากใครติดตามฟังจะพบความน่าประหลาดใจ นั่นคือมีการโหมโรงพูดถึงปัญหาปราสาทพระวิหาร ด้วย ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน
และการอภิปรายนี้มาจาก สส.เสื้อแดงฝั่งรัฐบาล
สิ่งที่พูดออกมาทำนองว่า ปัญหาปราสาทพระวิหาร อาจจะทำให้ไทยเสียดินแดน
และความผิดก็จะอยู่ที่รัฐบาลในอดีตที่ไม่ยอมใช้เงื่อนไขกฎหมายในการอุทธรณ์ จนกระทั่งถึงรัฐบาลชุดก่อนที่มีปัญหากับเขมร จนทำให้ต้องถูกร้องต่อศาลโลก
นี่แหละ สัญญาณที่มันทะแม่งๆ
ปัญหาปราสาทพระวิหารในขณะนี้ มาจากการที่เขมรยื่นฟ้องต่อศาลโลกให้ตัดสินที่ดินภายใต้ประสาทพระวิหารเป็นของใคร หลังจากที่ในปี 2505 ศาลโลกเพียงตัดสินว่า ตัวประสาทพระวิหารเป็นของเขมร แต่ไม่ได้ชี้ขาดเรื่องปัญหาดินแดนด้วย
คำตัดสินของศาลโลกอาจออกมาได้หลายแนวทาง
ถ้าไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือไม่เสียหายก็คงไม่มีอะไร
แต่ในทางกลับกันหากตัดสินทำนองที่ดินข้อพิพาทเป็นของเขมร รับประกันจะเกิดปัญหาตามมาแน่นอน
เพราะนั่นคือการที่ไทยจะเสียดินแดนอย่างแท้จริง
และสิ่งที่เป็นข่าวก็คือศาลโลกจะตัดสินปีนี้
คดีความปราสาทพระวิหารจึงเหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ยังไม่จุดชนวนก็ว่าได้
ยิ่งการอภิปรายในสภาเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่มีการพูดในลักษณะการปูพื้นว่า หากคำตัดสินออกมาในแง่ไทยเสียเปรียบ ก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลชุดนี้ ก็ยิ่งน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
เพราะปัญหาปราสาทพระวิหาร คงจบไม่ง่ายเพียงยกความผิดให้กับรัฐบาลก่อนๆ
สิ่งที่ตามมาจะต้องมีการตอบโต้ทางการเมืองแน่นอนว่า การที่เขมรได้เปรียบในปัญหาดินแดนมาจากหลายๆ เงื่อนไข
อาทิ การยอมให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว
หรือการนำเอาดินแดนไปแลกผลประโยชน์ก๊าซ น้ำมันในเขตพื้นที่ทับซ้อน ไทยเขมร ฯลฯ
แนวรบด้านตะวันตก จึงไม่เปลี่ยนแปลง
ความขัดแย้งในปราสาทพระวิหารยังอันตรายเสมอ