ฉากอุบาทว์สมานฉันท์
ในเมื่อจะปรองดองตามสูตรเสียงข้างมาก พี่น้องผู้เจ็บปวด ก็ต้องยอมรับ กลับไปล้างความคิดเดิมๆออกให้หมด
โดย....อสนีบาต
เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ไม่ต่างกับการพาผู้คนเข้าไปร่วมชมภาพยนต์มหากาพย์สไตล์บู๊ดุเดือดเลือดพ่านในสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างสองขั้ว โดยมีนักแสดงตัวประกอบอย่างประชาชนถูกเชิญชวนเข้าฉากสร้างภาพความยิ่งใหญ่อลังการ์งานสร้าง ด้วยการสั่งให้เอาหัวพุ่งชนกระบอง วิ่งหาลูกปืนจนต้องบาดเจ็บ ล้มตาย
ก่อนจะถูกสร้างเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง เป็นภาคต่อของการเผาบ้านเผาเมือง ว่าด้วย "ตอนปรองดองเพื่อนายข้า" จนถึงขณะนี้เสียงเรียกร้องสร้างความปรองดอง ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งก็เหมือนกับช่วงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองในปี 53 ที่มีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้สมานฉันท์กันเถอะ ครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน นักวิชาการ นักการเมือง ส.ส. สว. ล้วนมีข้อเสนอดีๆ ทั้งเสนอให้มีคนกลาง เปิดเจรจา ตั้งกรรมการเพื่อความสมานฉันท์ ระดมความเห็น หาต้นเหตุของปัญหาและหาทางออกร่วมกัน
นี่คือโมเดลจากทุกภาคส่วนในสังคม ด้วยตระหนักร่วมกันสถานการณ์วิกฤตบานปลายจำเป็นต้องหันหน้ามาพูดคุย แต่ทว่า ข้อเสนอเหล่านี้ กับถูกปฏิเสธจากแกนนำนักปลุกระดม ตามคำสั่งนาย ไม่เจรจา ไม่ยอมรับกรรมการ คณะต่างๆ สถานการณ์จึงบานปลายต่อไป
แต่วันนี้ความหมายของคำว่า "ปรองดอง" กับมีความสุดพิเศษมากกว่าครั้งก่อน เพราะเป็นความพยายามเร่งเร้าปรองดองผ่านปากนักการเมืองเพื่อสนองผู้มีอำนาจนอกประเทศให้กลับบ้านอย่างเท่ห์ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักนิติรัฐ นิติธรรม หวังใช้ทางด่วนก้าวผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่ละอาย
ประการสำคัญ เป็นการเมินเฉยบทเรียนซากปรักหักพัง เหยียบย่ำผู้สูญเสียในเหตุการณ์โดยไม่ต้องทวงถามหาความรับผิดชอบ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มีเสียงนักปลุกระดมพล่ามพูดอยู่บ่อย ต้องติดตามดำเนินการถึงที่สุด พิสูจน์ให้ได้ "ใครเป็นผู้สั่งการ" "ใครสั่งฆ่า"
ใครเป็นคนพูดหรือ อย่าสองมาตรฐาน เมื่อแกนนำถูกดำเนินคดีจะต้องลากผู้สั่งการมาดำเนินคดีให้ได้ คำพูดเหล่านี้ก้องอยู่ในโสตประสาทผู้ร่วมเหตุการณ์ และอาจก้องอยู่ในโสตประสาทผู้จากไปด้วยซ้ำ
2-3 ปีที่ผ่านมา สำหรับพี่น้องประชาชนผู้รักความถูกต้องที่ยังไม่ถึงขั้นอัลไซเมอร์หลงลืมวีรกรรมของคณะเผาบ้านเผาบ้าน จำกันได้ไหมกับบรรดานักปลุกระดมทั้งหลายที่รับงานมาจากหัวหน้าใหญ่อีกที ประสานเสียงเดียวกัน กับการขับไล่อำมาตย์ โจมตีเหล่าคณะนายทหารที่กระทำการปฏิวัติ บางครั้งก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบัน
แกนนำเหล่านี้ เอ่ยอ้างทุกสิ่งที่บอกกล่าวประชาชน คือข้อมูลถูกต้อง ฝังความคิดประชาชนที่มาจากทั่วสารทิศเรามาอยู่ ณ วันนี้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย
ผู้คนถูกปลุกปั่นอยู่ในชุดวามคิดเดียวกัน ออกมาแสดงความซาบซึ้งพระคุณนักปลุกระดมที่อุทิศตนเพื่อมวลประชา ยกให้เป็นเทพเจ้าเหนือผู้บังเกิดเกล้าของตนเองด้วยซ้ำ มีการโห่ฮิ้วยกย่องเป็นถึง "วีรบุรุษมวลชน" ทั้งที่ภูมิหลังหารู้ไม่ต่ำเตี้ยระดับหิ้วกระเป๋านักการเมือง มาก่อน แต่ตอนนี้เป็น ฯพณฯ ผู้สูงศักดิ์
วันนี้ นักแสดงการเมืองผู้เคยสวมบทปลุกระดมยังคงอยู่ดีมีสุขบนความเจ็บปวดของผู้คน จากเสื้อยืดกางเกงยีนส์ปะรูพรุนมาเป็นใส่สูทผูกไทค์อยู่ในสภาด้วยการอ้างได้รับฉันทามติเสียงข้างมากเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย
เพราะสูทใหม่ หรือเพราะความหอมหวลในอำนาจ จากธุลีดินมาเป็นห้องแอร์ในสภา จึงทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยบอกกล่าวพี่น้องทั้งที่เชิดชูวีรบุรุษเหล่านี้ ด้วยการบอกกล่าว "ให้ลืมๆกันไปซะไอ้เรื่องเบื้องหลังปฏิวัติ"
ก็ในเมื่อจะปรองดองตามสูตรเสียงข้างมาก พี่น้องผู้เจ็บปวด ก็ต้องยอมรับ กลับไปล้างความคิดเดิมๆออกให้หมดเพื่อจะได้อัพเดทโปรแกรมใหม่ใส่เข้าไปในสมอง จงจดจำนิยามปรองดองใหม่
....ปรองดองได้เมื่อผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญต้องมาคุยกับนายข้า
....ปรองดองได้ต่อเมื่อต้องเชิดชูรายงานกมธ.วิสามัญให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมทุกคดีของนายใหญ่
....ปรองดองได้ด้วยการอย่าซ้ำเติมอดีตประธานคมช.
ทั้งที่เมื่อครั้งปลุกระดม ถล่มโจมตีชนิดกลายเป็นอริศัตรูแบบไม่ต้องเผาผีกันแล้ว ทั้งหมดมีตัวตนคนเคยถูกเหยียบย่ำจากนักปลุกระดม ให้ผู้คนชิงชังรังเกียจ ให้ผู้คนเข้าใจว่า นี่คือต้นเหตุของการยึดอำนาจ
ขอไว้อาลัยต่อเจ้าหน้าที่รัฐ นายทหาร พี่น้องเสื้อแดงที่สูญเสีย พวกเขาไม่อาจลุกขึ้นมาทวงสิทธิค้นหาความจริง ตามหาผู้รับผิดชอบ เพื่อนำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริง มันคงไม่มีอีกแล้ว เพราะตามสูตรของเหล่านักปลุกระดมวีไอพีตอนนี้ เป่ากระหม่อมสาวกไปแล้วว่า "ถ้าค้นหาความจริงก็ไม่มีวันปรองดอง"
ถึงบรรทัดนี้ ไม่ได้ลุกขึ้นมาขวางหนทางปรองดอง เพราะเดี๋ยวจะมีแฟนคลับผู้ไหลหลงเทิดทูนนายใหญ่บอกสื่อเสี้ยมขัดบรรยากาศปรองดอง แต่โปรดได้รับรู้ วิธีการเพื่อสร้างความชอบธรรมเอาตัวรอดให้ผู้มีอำนาจโดยใช้ประชาชนเป็นตัวประกอบ ถ้าคนไม่โง่เห็นพฤติกรรมทรามนักการเมืองเหล่านี้แล้ว
ก็บอกได้คำเดียว "ปรองดองอุบาทว์โดยแท้"


