ตลาดหุ้นไม่ใช่ปิกนิก! “ดร.นิเวศน์” ย้ำ 5 ข้อต้องเข้าใจและทำใจในการลงทุน
จากนักล่าสู่คนเพาะปลูก! 30 ปีในป่าตลาดหุ้นที่สอนให้ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ” ถ่อมตน สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความเก่ง คือการเข้าใจเกม และ “ทำใจ” ให้เป็น
KEY
POINTS
- จากนักล่าสู่คนเพาะปลูก! 30 ปีในป่าตลาดหุ้นที่สอนให้
- “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ” ถ่อมตน
- สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความเก่ง คือการเข้าใจเกม และ “ทำใจ” ให้เป็น
เวลาลงทุนนั้น ผมมักจะเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตของมนุษย์ในสมัยยุคหินที่ต้องหากินเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งวิธีการก็มี 2 แบบนั่นคือหาของป่าและ/หรือล่าสัตว์ การหาของป่านั้น ผลตอบแทนที่ได้รับก็คือพืชผล ซึ่งก็จะมีคุณค่าอาหารที่น้อยหรือให้ผลตอบแทนน้อย แต่ก็จะค่อนข้างปลอดภัย ถ้าเทียบกับการลงทุนก็อาจจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมอิงดัชนี ซึ่งก็มีความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนก็อาจจะไม่สูงนัก
ส่วนการล่าสัตว์นั้น ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นก็มักจะสูง เพราะเนื้อสัตว์มีคุณค่าทางอาหารที่สูงและ “อร่อย” แต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นเดียวกัน เพราะแทนที่จะเป็นผู้ “ล่า” ก็อาจจะพลาดท่ากลายเป็นเหยื่อให้สัตว์อื่นแทน ถ้าเปรียบเทียบก็คือ การลงทุนแบบที่เราเลือกหุ้นลงทุนเป็นรายตัวเอง ผลตอบแทนที่เราคาดหวังก็จะต้องสูงกว่าปกติ แต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นเดียวกันบ่อยครั้งแทนที่จะกำไรมากๆกลายเป็นขาดทุนหมดตัวก็มี
เราเป็นคนหาของป่าหรือเป็นคนเพาะปลูกหรือเป็นนักล่าก็ต้องตัดสินใจเอง ส่วนตัวผมเองนั้น เป็น “นักล่า” มาตลอดตั้งแต่เริ่มลงทุนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนี้ด้วยอายุที่มากขึ้น ความสามารถในการผจญภัยในป่าที่ห่างไกลออกไปก็ลดลงมาก จึงคิดว่าจะต้องปรับเปลี่ยนเป็นคนหาของป่าหรือเพาะปลูกแทนในบางพื้นที่ นั่นก็คือ ลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีใน “ตลาดหุ้นโลก” แทนที่จะเลือกหุ้นลงทุนเอง
ผมอารัมภบทมายาว แต่หัวข้อหลักที่จะพูดในวันนี้ก็คือ ไม่ว่าจะหากินหรือลงทุนแบบไหน สิ่งที่จะช่วยให้เราเอาตัวรอดปลอดภัยได้ดีขึ้นรวมถึงการที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีนั้น สิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ การเข้าใจสิ่งที่เราเผชิญหรือทำอยู่และการ “ทำใจ” ในภาวะที่ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปตามคาด
เรื่องแรกที่เราต้องเข้าใจก็คือ “การลงทุนไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับการไปปิกนิก” คนสมัยยุคหินนั้น ก่อนที่จะเข้าป่าล่าสัตว์คงต้องเรียนรู้ฝึกฝนนานก่อนที่จะกล้าทำ เพราะอันตรายสูงมาก ในป่านั้นอย่าคิดว่าเราจะเก่งกว่าสัตว์อื่นหรือคนอื่นที่ต่างก็ออกไป “ล่าสัตว์” ซึ่งก็รวมถึงมนุษย์เช่นกัน
เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าในตลาดหุ้นนั้นเต็มไปด้วย “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” ที่พร้อมจะขย้ำคุณเสมอ พวกเขาอาจจะมาแนะนำหรือชักชวนด้วยกลวิธีร้อยแปด บอกวิธีหรือเชียร์หุ้นให้คุณเข้าไปลงทุนเหมือนกับล่อให้เข้าไปติดกับแล้วก็อาจจะขย้ำคุณไม่มีชิ้นดี
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องโวยวายถ้าเจ๊งหุ้นที่คุณซื้อตามเขาหรือตามคำแนะนำของเขา เพราะคุณเป็นคนเลือกที่จะเข้าไป “ล่า” ผลตอบแทนเอง แล้วก็พลาดกลายเป็น “เหยื่อ” ตลาดหุ้นมันโหดร้ายนะครับ
เรื่องที่ 2 ก็คือ ตราบใดที่คุณยังอยู่ในป่าหรือในสนาม หรือหากินหรือลงทุนในตลาดหุ้น คุณยังไม่สามารถประกาศความสำเร็จหรือความมั่งคั่งของตนเองได้หรอก
เพราะสิ่งที่คุณเห็นในวันหนึ่งนั้น มันอาจจะเป็น “Illusion” หรือ “ภาพลวงตา” สิ่งที่คุณมีอาจจะเป็นมูลค่าหุ้นจำนวนมหาศาลแบบที่เรียกว่า “เหนือจินตนาการ” แต่ผ่านมาซักระยะหนึ่ง มูลค่าทั้งหมดอาจจะหายไปได้ในชั่วข้ามคืน วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็เคยพูดว่า ถ้าคุณทนเห็นหุ้นตกลงไป 50% ไม่ได้ คุณก็ไม่ควรจะอยู่ในตลาดหุ้น
ผมเองอยู่ในตลาดหุ้นไทยมานานแล้ว และก็เห็นคนที่รวยมหาศาลจากตลาดหุ้นพลิกกลับมาจนแทบไม่เหลืออะไรในเวลาไม่นาน ไม่ต้องพูดถึงคนที่รวยหรือรวยมากที่กลับมารวยน้อยหรือไม่รวยแล้วเมื่อเวลาผ่านไปและตลาดเปลี่ยนจากตลาดกระทิงกลายเป็นตลาดหมี ซึ่งทำให้นักลงทุนจำนวนมากพอร์ตหายไป 50% หรือ 70% หรือมากกว่านั้นภายในปีหรือสองปี
เพราะฉะนั้นก็เตรียมใจไว้บ้างที่เราอาจจะไม่ได้รวยอย่างที่คิดแม้ว่าตัวเลขพอร์ตจะใหญ่โตหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเข้าใจเรื่องของการดูแลความเสี่ยงในการลงทุนอย่างเข้มงวดและตั้งสมมุติฐานว่า สิ่งที่เลวร้ายมากที่สุดก็อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอเพื่อลดโอกาสในการเกิด “หายนะ”
เรื่องที่ 3 ยีนของมนุษย์ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จนถึงเดี๋ยวนี้ก็คือเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและมีความหวังที่เรียกว่า “โลกสวย” มากกว่าที่จะมืดมนและเศร้าหมองมาก เราจะมองเห็นอะไรที่ดีดีมากกว่าที่จะเห็นข้อเสีย เช่นเดียวกับที่เรามักจะเชื่ออะไรที่สดใสมากกว่าสิ่งที่หดหู่
มนุษย์ยุคก่อนที่เห็นสัตว์เนื้อตัวโตก็มักจะ “โลภ” และทุ่มสุดตัวเข้าไปล่าโดยอาจจะลืมอันตรายที่มองไม่เห็น เช่น เสืออีก 2-3 ตัวที่กำลังจ้องมองสัตว์ตัวนั้นเหมือนกัน ผลก็คือคนๆนั้นกลายเป็นเหยื่อของเสือเพราะตนเองมองแต่ลาภก้อนโต ไม่ได้เห็นอันตรายที่อยู่ข้างๆ
อุทาหรณ์ก็คือ ลงทุนในตลาดหุ้น “อย่าโลภ” เกินไป อย่าเล่น “All In” หรือหุ้นตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมด แถมบางทีใช้มาร์จินเต็มที่เพราะหวังรวยแบบ “หลายๆเด้ง” แล้วคิดว่าจะต้องสำเร็จอาจจะเพราะมั่นใจในตัวหุ้นมากเกินไป แต่การทำแบบนั้น วันหนึ่งก็อาจจะพลาดและทำให้เสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้
และนั่นก็นำมาสู่ “ความกลัว” ที่ก็อยู่ในยีนมนุษย์เช่นเดียวกัน เราต้องเข้าใจว่า เวลาที่หุ้นตกมากๆนั้น คนจะกลัวกันมากและถอนตัวออกจากตลาดไปเลย ทั้งๆที่นั่นเป็นเวลาที่ความเสี่ยงในการลงทุนลดลงมาก อันตรายที่หุ้นจะตกต่อมันลดลงแล้วโดยเฉพาะในหุ้นของกิจการที่ดีหรือดีเยี่ยม นี่ก็เป็นคำคมคลาสสิกของบัฟเฟตต์ที่ว่า
“จงกลัวเมื่อคนกล้าและกล้าเมื่อคนกลัว”
เรื่องที่ 4 ก็คือ ถ้าจะประสบความสำเร็จในการลงทุนคุณจะต้อง “ไม่ลำเอียง” และต้องรู้ว่าทุกคนต่างก็มีแนวโน้มที่จะลำเอียงรวมถึงตัวคุณเอง เรามีแนวโน้มที่จะเข้าข้างอะไรที่เป็น “ตัวกู-ของกู” อย่างที่ท่านพุทธทาส พระภิกษุนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้
ตัวอย่างเช่น อย่ามองหุ้นที่ตนเองถืออยู่นั้น ดีเกินไปหรือดีกว่าหุ้นตัวอื่นที่เป็นคู่แข่งกันในธุรกิจหรือบริษัทเรามีสินค้าที่สุดยอดกว่าหรือเติบโตดีกว่า หรือสินค้าของเราเป็นที่นิยมในต่างประเทศ “คนจีนชอบมาก” หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นกำลังเป็น “เมกาเทรนด์” และเราจะเป็นผู้นำและไม่ว่าจะมี “เสียงค้าน” จากคนอื่น เราก็จะไม่ฟังหรือไม่เชื่อ เพราะนี่คือ “หุ้นกู-ของกู”
เรายังคิดว่าเรา “รู้ดี” กว่าคนอื่น ในเรื่องที่เราศึกษามา เรารู้เรื่องของเทคโนโลยี เรื่อง AI รู้ว่าบริษัทไหนโดดเด่นทางด้านไหนและจะเป็น “ผู้ชนะ” และดังนั้นเราจึงเลือกลงทุนในหุ้นตัวนั้น แต่สุดท้ายเราคิดถูกต้องหรือเปล่า ? เราเคยประเมินไหมว่าเราคิดถูกกี่เปอร์เซ็นต์และคิดผิดกี่เปอร์เซ็นต์ ? แล้วโดยรวมแล้วเรากำไรหรือขาดทุนมากน้อยแค่ไหนในระยะยาว
ความลำเอียงนั้น ไม่ใช่เฉพาะที่เป็น ตัวกู-ของกู แต่รวมไปถึง “พวกเรา-ของเรา” “ประเทศไทย-ของไทย” เวลาจะวิเคราะห์อะไรเราก็จะมีความโน้มเอียงไปในทาง “เข้าข้าง” สิ่งที่เป็นของเราหรืออยู่ฝ่ายเรา เช่น เราดีกว่าเราเก่งกว่า เราสวยกว่า เราน่าเที่ยวกว่า สินค้าบริการของเราเหนือกว่าคู่แข่งจากประเทศอื่น ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลาง” คนไทยให้บริการดีกว่า เราจะเป็น “ฮับทางด้านสุขภาพ” ที่เหนือกว่าประเทศอื่น เป็นต้น เพราะเราก็ “ลำเอียง” ที่มักจะฟังเฉพาะเสียง “ชื่นชม” จากชาวต่างประเทศโดยไม่สนใจที่จะไปหาคนที่เขาไม่ชอบหรือนิ่งเฉยซึ่งมีมากกว่า
เป็นเรื่องยากที่จะไม่ลำเอียงครับ แต่ก็ต้องพยายามถ้ารักจะเป็นนักลงทุนหรือนักเลือกหุ้น
เรื่องที่ 5 จะเป็นเรื่องของ “การทำใจ” หรือปรับใจให้เป็นนักลงทุนที่ดีโดยพื้นฐานในความเห็นของผม
5.1 ใจเย็น นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องหักห้ามใจ เพราะยีนของเราเป็นคนใจร้อน โดยเฉพาะเวลาเกิดเหตุการณ์ที่เราหรือสังคมคิดว่ามันจะเป็นวิกฤติหรือเป็นเรื่องรุนแรง ใจเย็นๆ แล้วค่อยพินิจพิจารณา เช่น คิดว่ามันจะเกิดขึ้นไหมและรุนแรงแค่ไหน และถ้าเกิดผลกระทบจะเป็นอย่างไร ถ้าจะให้ดีก็ควรดู “ประวัติศาสตร์” ประกอบด้วย
5.2 อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเรามักจะชอบเปรียบกับคนที่ดีกว่าหรือเหนือกว่าเพราะต้องการเอาชนะเขา ซึ่งก็มักจะเป็นเรื่องยาก เพราะเมื่อเราทำได้ เราก็จะไปเปรียบกับคนใหม่ที่อาจจะยากยิ่งกว่า สุดท้ายแล้ว เราคงหาความสุขได้ยาก ดังนั้น อย่าไป “อิจฉา” ใครเลยคือสิ่งที่ดีที่สุดและจะทำให้เราลงทุนอย่างสบายใจและพอใจกับผลตอบแทนที่ตนได้รับ
ผมเคยฟังคนระดับ “เจ้าสัว” ของไทยคนหนึ่งที่พูดนานมาแล้วว่า “ต่อให้คุณรวยแค่ไหน ก็จะมีคนที่รวยกว่าคุณเสมอ” และคุณจะรวยที่สุดได้ไม่นานหรอก ลองดูรายชื่อมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกดูก็ได้ เปลี่ยนไปเร็วแค่ไหน
5.3 ในชีวิตคนนั้น ไม่มีใครทำได้ดีทุกปี มีปีที่ดีมาก ดี ธรรมดา ไม่ดี และแย่ หรือแย่มาก เราต้องยอมรับและอยู่กับมันอย่างสงบและสมถะ สิ่งที่ต้องระมัดระวังและป้องกันอย่างเต็มที่ก็คือ ต้องหลีกเลี่ยง “หายนะ” ให้ได้ โดยเฉพาะหายนะที่ “ทำลายชีวิต” การลงทุนอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็เกิดขึ้นได้ไม่น้อย เพราะชีวิตเรายืนยาว แต่หายนะมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยมาก เราต้องอยู่ห่างจากมัน สำหรับผมแล้ว จะต้องไม่มีคำว่า “จำนองบ้านมาลงทุน” ในทุกกรณี
สรุปของหัวข้อนี้ก็คือ นักลงทุนควรเป็นคน “สมถะ” ไม่ว่าจะมีพอร์ตใหญ่แค่ไหนและก็ต้องสามารถทำใจได้ว่าปีนี้เราอาจจะ “แพ้ทุกด้าน” ทำอะไรหรือลงทุนตรงไหนก็ไม่สำเร็จว่าที่จริงเราก็มีประวัติศาสตร์หลายกรณีที่ “VI ระดับโลก” บางคน เลิกลงทุนไปเลย เพราะเคยมีผลงานยอดเยี่ยม เสร็จแล้วมาเจอกับสถานการณ์ที่ตนเองทำอะไรก็ไม่สำเร็จแม้ว่าจะใช้หลักการแบบ VI ที่ทำมาตลอดชีวิต
VI ที่แท้จริงนั้น ไม่โม้โอ้อวด เซียนระดับโลกแทบทุกคนเป็นคน “สมถะ” รวมถึงการใช้ชีวิต จอร์จ โซรอส เองนั้น แม้ไม่ใช่ VI แต่ก็เคยพูดว่า “You are not invincible” ทุกคนตายได้เสมอไม่มีใครเป็นอมตะ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน.


