SAMART ทุ่ม 200 ล้านซื้อหุ้นคืน! ผู้บริหารส่งสัญญาณแรง หุ้นต่ำกว่ามูลค่าจริง
"สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART)" มองราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงกลางปี 2569 วงเงิน 200 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นในมูลค่าพื้นฐานและศักยภาพการเติบโต
KEY
POINTS
- "สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART)" มองราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
- เดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงกลางปี 2569 วงเงิน 200 ล้านบาท
- สะท้อนความเชื่อมั่นในมูลค่าพื้นฐานและศักยภาพการเติบโต
โหนกระแสไปกับ "บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART" หลังประกาศมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน ภายใต้วงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น
"วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์" รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและพัฒนาธุรกิจใหม่ SAMART เผยว่า การซื้อหุ้นคืนของบริษัทได้กำหนดรายละเอียดการซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 36,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 3.58 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งมีจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งสิ้น 1,006,504,198 หุ้น โดยหุ้นสามัญมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนจะดำเนินการผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 21 มิถุนายน 2569
สำหรับ "ราคาซื้อหุ้นคืน" บริษัทจะกำหนดราคาโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ที่รอบคอบและเป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยราคาซื้อหุ้นคืนจะไม่เกินร้อยละ 115 ของราคาปิดเฉลี่ยของหุ้นในช่วง 5 วันทำการซื้อขายล่าสุดก่อนวันที่ทำรายการ ทั้งนี้ เพื่อให้การซื้อหุ้นคืนเป็นไปอย่างเหมาะสมและสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
การดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ ยังสะท้อนมุมมองของบริษัทว่าราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6.80 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ พื้นฐานธุรกิจ ฐานะการเงิน และศักยภาพการเติบโตในระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง
"การซื้อหุ้นคืนในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี เป็นการบริหารเงินทุนที่มีประสิทธิภาพและสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริหารต่อมูลค่าพื้นฐานของบริษัท โครงการนี้จึงเป็นทั้งการบริหารสภาพคล่องและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว"
บริษัทฯ มีความพร้อมด้านสภาพคล่อง โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีกำไรสะสม 1,172 ล้านบาท มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 450 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกระแสเงินสดสุทธิกว่า 400 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
ซึ่งเพียงพอสำหรับการชำระหนี้สินที่ถึงกำหนดภายใน 6 เดือน จำนวน 195 ล้านบาท รวมถึงการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนโดยไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจหลักหรือแผนการลงทุนในอนาคต
"ข้อดีของการซื้อหุ้นคืน คือช่วยลดจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด ส่งผลให้กำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ถือหุ้นยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นที่สูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืนจะไม่มีสิทธิในการรับเงินปันผล"
บริษัทยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล ควบคู่กับการบริหารเงินทุนอย่างรอบคอบ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนอย่างยั่งยืนในระยะยาว.


