ก.ล.ต. ชี้ประชุมผู้ถือหุ้น THAI ต้องเป็นไปตามกฎหมายบริษัทมหาชน
ก.ล.ต. ระบุการประชุมผู้ถือหุ้นการบินไทย 19 ธ.ค.นี้ ต้องยึด พ.ร.บ.บริษัทมหาชนฯ ภายใต้กำกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พร้อมประสานให้เปิดเผยข้อมูลผ่านระบบ SET Link อย่างครบถ้วน
KEY
POINTS
- ก.ล.ต. ชี้แจงว่าการจัดประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท การบินไทย (THAI) ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายบริษัทมหาชนฯ และได้ประสานให้บริษัทปฏิบัติตามแล้ว
- ประเด็นปัญหาเกิดจากการที่คณะกรรมการ THAI เรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีอีกครั้ง ซึ่งอาจขัดต่อกฎหมายเนื่องจากผู้บริหารแผนฟื้นฟูได้จัดประชุมไปแล้วเมื่อเดือน มี.ค.
- ก.ล.ต. ย้ำเตือนให้กรรมการและผู้บริหาร THAI ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง และซื่อสัตย์สุจริตตามที่กฎหมายหลักทรัพย์ฯ กำหนด
ความขัดแย้งด้านธรรมาภิบาลและการตีความข้อกฎหมายได้นำไปสู่การตั้งคำถามอย่างรุนแรงต่อการดำเนินงานของคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI หลังจากที่ผู้ถือหุ้น 3 ราย ได้แก่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นางแจ่มศรี สุกโชติรัตน์ และนายรัชตกร ศรีบุญโรจน์ ได้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2568 เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การตัดสินใจเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 อีกครั้งในวันที่ 19 ธ.ค.2568 ซึ่งอาจขัดต่อข้อบังคับบริษัทและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายหลักทรัพย์ฯ
ปัญหาทางกฎหมายเกิดจากความซ้ำซ้อนของการประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงที่บริษัทยังอยู่ภายใต้การฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งศาลล้มละลาย โดยก่อนหน้านี้ ในเดือน มี.ค.2568 ผู้บริหารแผนได้ใช้อำนาจและสิทธิของผู้ถือหุ้นตามกฎหมายฟื้นฟูกิจการในการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ไปแล้ว เพื่อพิจารณางบการเงินและแต่งตั้งผู้สอบบัญชีตามที่กฎหมายกำหนดครบถ้วน
การที่คณะกรรมการบริษัทยังคงยืนยันที่จะนัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นอีกครั้งในเดือน ธ.ค.นี้ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการดำเนินการที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายบริษัทมหาชนฯ ตามข้อบังคับและกฎหมายดังกล่าว หากพ้นกำหนด 4 เดือนนับจากวันสิ้นรอบบัญชี การประชุมผู้ถือหุ้นที่ถูกจัดขึ้นจะต้องเป็นการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเท่านั้น
สิ่งที่เพิ่มความกังวลอย่างยิ่ง คือ วาระการประชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวาระการเลือกตั้งกรรมการแทนผู้ที่ครบวาระ ซึ่งเป็นวาระที่กฎหมายกำหนดให้ต้องพิจารณาเฉพาะในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น การยืนยันที่จะจัดประชุมในรูปแบบสามัญผู้ถือหุ้นในเดือน ธ.ค. จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีเจตนาแอบแฝง เป้าหมายคือการผลักดันวาระเลือกกรรมการให้เกิดขึ้นเพื่อปลดผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ เดิมออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้งบุคคลที่เชื่อมโยงกับฝ่ายการเมืองเข้ามารับตำแหน่งแทน ข้อสังเกตนี้เกิดขึ้นแม้ศาลล้มละลายกลางเคยระบุว่า ผู้บริหารแผนคนเดิมได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแผนฟื้นฟูฯ
การดำเนินการที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมายของคณะกรรมการบริษัทได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของตลาด ราคาหุ้นของ THAI ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีข่าวการจัดประชุมดังกล่าว มูลค่าหุ้นลดลงจาก 14.50 บาท เหลือเพียง 8.35 บาท หรือคิดเป็นการลดลงถึง 42.4% ส่งผลให้มูลค่าบริษัทลดลงจาก 410,398 ล้านบาท เหลือ 236,332 ล้านบาท การลดลงอย่างรุนแรงนี้สะท้อนความเสียหายสะสมต่อมูลค่าบริษัทรวมกว่า 174,065 ล้านบาท
เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า การยืนยันจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่อาจมีปัญหาทางกฎหมาย รวมถึงข้อสงสัยเรื่องการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนตัวผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ส่งสัญญาณเชิงลบอย่างรุนแรงไปยังนักลงทุน ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในองค์กรที่กำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟูอย่างเห็นได้ชัด
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจึงเปรียบเสมือนการสั่นคลอนรากฐานของความเชื่อมั่น (Confidence) ที่เป็นหัวใจสำคัญในการนำพาบริษัทที่อยู่ในช่วงวิกฤตกลับมายืนหยัดในตลาดทุนได้อย่างยั่งยืน
“เอนก อยู่ยืน” รองเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ข้อมูลกรณี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI จะประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 ธ.ค.2568 สามารถดำเนินการได้หรือไม่ ว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีและวิสามัญเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานหลักกำกับดูแลเป็นการเฉพาะและบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว
โดย ก.ล.ต. ได้มีการประสานไปยัง THAI ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว และหากมีข้อมูลที่สำคัญเพิ่มเติม ก.ล.ต.จะติดตามให้ THAI เปิดเผยข้อมูลให้ผู้ลงทุนทราบผ่านระบบ SET Link ต่อไป
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้ กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งต้องปฏิบัติเป็นไปตามกฏหมาย ข้อบังคับ มติคณะกรรมการ และมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น


