posttoday

ผ่ากลยุทธ์ 3 ปี “PCE” เดินเกมสู่ธุรกิจน้ำมันปาล์มโลกใหม่

15 ธันวาคม 2568

PCE เปิดแผนธุรกิจ 3 ปี เร่งเครื่องสู่ธุรกิจน้ำมันปาล์มโลกใหม่ ควบคู่ธุรกิจดั้งเดิม เดินหน้าโรงสกัด-โรงกลั่นเฟส 2-3 ผนึก Nisshin OiliO ดันส่งออกแตะ 50% ลุยสินค้า High Margin รุก B2C ในประเทศ ส่ง “รินทิพย์” เข้า 7-11 หนุนรายได้ปี 69 โต 10-15%

KEY

POINTS

  • PCE เปิดแผนธุรกิจ 3 ปี เร่งเครื่องสู่ธุรกิจน้ำมันปาล์มโลกใหม่ ควบคู่ธุรกิจดั้งเดิม
  • ทุ่มงบลงทุนขยายกำลังการผลิตโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เฟส 3 เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากภายนอกและควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ผนึกพันธมิตรญี่ปุ่น Nisshin OiliO ดันส่งออกแตะ 50% ลุยสินค้า High Margin อุตสาหกรรมอาหาร-เวชสำอาง รุก B2C ในประเทศ ส่ง “รินทิพย์” เข้า 7-11 หนุนรายได้ปี 69 โต 10-15%

บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ประกอบธุรกิจโดยการเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลัก 4 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค 2) ธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ 3) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ 4) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ

โดยเฉพาะธุรกิจน้ำมันปาล์ม PCE ไม่ได้อยู่เพียงแค่ธุรกิจโลกเก่า หรือธุรกิจดั้งเดิม แต่ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจโลกใหม่ หรือยุคของการสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายขอบเขตการดำเนินงานสู่ตลาดโลก ด้วยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน การมุ่งเน้นมาตรฐานระดับสากล และการผนึกกำลังกับพันธมิตรระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้ามูลค่าสูง (High Margin)  

“พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” รองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ระบุว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจนสำหรับ 3 ปีข้างหน้า ครอบคลุมถึงการดำเนินงานทางธุรกิจ (Business Operation) การเติบโต (Growth) และการใช้จ่ายด้านทุน (Capital Expenditure) 

จุดเด่นของ PCE ที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง คือ การมีระบบโลจิสติกส์และคลังสินค้าของตนเอง ส่วนธุรกิจน้ำมันปาล์มครอบคลุมการดำเนินงานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยมีทั้งโรงสกัดและโรงกลั่น 

ขณะที่ภาพรวมตลาดน้ำมันปาล์มมีการเติบโตทุกปี โดยตลาดน้ำมันปาล์มโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) อยู่ที่ประมาณ 5.4% และตลาดน้ำมันปาล์มของไทย มีการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3-5% 

ผนึกพันธมิตรญี่ปุ่น ขยายตลาดส่งออกเป็น 50%

สำหรับแผนดำเนินงานปี 2569 บริษัทตั้งเป้าปรับโครงสร้างช่องทางจำหน่ายเพื่อขยายฐานลูกค้าต่างประเทศให้เป็นสัดส่วน 50% ของรายได้จากการขายทั้งหมด จากระดับปัจจุบันที่ราว 40% โดยจะลดสัดส่วนการขายในประเทศลงเหลือ 50% จากเดิมประมาณ 60% เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าเชิงมูลค่าสูง

“ตามแผนการขยายตลาดในต่างประเทศ PCE จะร่วมมือกับ The Nisshin OiliO Group, Ltd โดยพันธมิตรรายนี้มีจุดแข็งด้านการเป็น B2B Specialty Supplier ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงของ PCE เข้าถึงตลาดเชิงอุตสาหกรรมได้รวดเร็วและมีช่องทางการจัดจำหน่ายระดับโลก”

โดยในปี 2568 บริษัทได้บรรลุข้อตกลงการร่วมทุน (JV) กับ Intercontinental Specialty Fats Sdn. Bhd. (ISF) บริษัทในเครือ The Nisshin OiliO Group, Ltd จัดตั้ง บริษัท นิทไทย สเปเชียลตี้ ออย แอนด์ แฟตส์ จำกัด โดย PCE ถือสัดส่วน 60% และ ISF ถือหุ้น 40% การร่วมทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดน้ำมันบริโภคในระดับอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ 

Nisshin OiliO เป็นบริษัทอันดับ 1 ในตลาดน้ำมันบริโภคของญี่ปุ่น มีเครือข่ายขนาดใหญ่ โดยมียอดขายประมาณ 100,000 ล้านบาท มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจแบบ B2B และพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันบริโภคให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม โดยมีเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนการใช้น้ำมันของลูกค้า B2B อย่างมาก เช่น การพัฒนาน้ำมันทอดที่สามารถใช้ได้นานถึง 5 วัน โดยที่น้ำมันไม่ดำ  

พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล

Nisshin OiliO มี 21 บริษัท ใน 8 ประเทศ และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปทั่วโลกกว่า 54 ประเทศ นอกจาก Nisshin OiliO จะเป็นอันดับ 1 ในตลาดน้ำมันบริโภคในญี่ปุ่นแล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญในกลุ่ม Specialty Fat และผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ใช้เป็นวัตถุดิบต่อยอดด้วย เช่น Cocoa Butter และไขมันสำหรับอุตสาหกรรมเบเกอรี่ ช็อกโกแลต และเวชสำอาง 
 
แม้ว่าปกติแล้วญี่ปุ่นจะไม่ได้ซื้อน้ำมันปาล์มจากไทยโดยตรง แต่จะซื้อจากมาเลเซียและอินโดนีเซียเป็นหลัก การตัดสินใจร่วมทุนในไทยเกิดจากการที่พวกเขามองเห็นโอกาสการเติบโตของพื้นที่เพาะปลูกและโอกาสในการสร้างสินค้า High Margin ในไทย การเป็นพันธมิตรกับ Nisshin OiliO จึงเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยขยายช่องทางการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทยให้มีมากขึ้น

ขยายผลิตภัณฑ์สู่กลุ่ม High Margin

ในแง่ผลิตภัณฑ์ บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันปาล์มและน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (High Margin Value) ที่เป็นวัตถุดิบ (Raw Material) สามารถใช้งานได้ทั้งด้านการประกอบอาหาร เช่น ไขมันสำหรับช็อกโกแลต และสินค้าอุปโภคบริโภค หรืออุตสาหกรรม Oleochemical เช่น ส่วนผสมในเวชสำอาง สบู่ ยาสระผม เป็นต้น ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ธรรมดา และมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป

สำหรับตลาดในประเทศ PCE ตั้งเป้าขยายฐานสู่กลุ่ม B2C โดยมุ่งเน้นการวางจำหน่ายน้ำมันปาล์มสำหรับประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯให้ครอบคลุมทุกช่องทางจำหน่าย พร้อมกันนี้ยังมีแผนเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ให้กับแบรนด์และร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นนำในประเทศ เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์และสร้างฐานลูกค้าปลีกที่มั่นคง

การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจปาล์มน้ำมันต้นน้ำ

“กิตติภณ ประสิทธิ์ศุภผล” รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ให้ข้อมูลว่า ธุรกิจน้ำมันปาล์มมีโครงสร้างที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ การดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ในปัจจุบันกำลังมุ่งเน้นไปที่ส่วนของธุรกิจต้นน้ำ โดยเฉพาะโรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) 

กลยุทธ์หลักในการพัฒนาธุรกิจนี้ ประกอบด้วย 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ การขยายกำลังการผลิต (Capacity Expansion), การยกระดับประสิทธิภาพ (Enhance Efficiency) และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Optimize Energy) 

ขยายกำลังผลิตโรงสกัดเฟส 2 และเฟส 3 

บริษัทได้ดำเนินการขยายขีดความสามารถของโรงสกัด CPO ในเฟส 2 และเฟส 3 โดยมีเงินลงทุนรวมกันประมาณ 500 ล้านบาท โดยเฟส 2 มูลค่าลงทุน 180 ล้านบาท ปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้ง และอยู่ระหว่างการทดสอบระบบ จะเริ่มให้ผลเชิงพาณิชย์ในปี 2569 ทำให้สามารถผลิต CPO ได้ 650 ตันต่อวัน หรือเทียบเท่ากับการรับซื้อผลปาล์มสดเข้ามาแปรรูปได้ถึง 3,600 ตันต่อวัน 

สำหรับปริมาณการรับซื้อผลปาล์มสดที่ 3,600 ตันต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6-10% ของผลผลิตปาล์มน้ำมันทั้งหมดของประเทศ 

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าสร้างโรงสกัด CPO เฟส 3 มูลค่าลงทุน 310 ล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2569 พร้อมกับสร้างโรงกลั่น CPO เพื่อผลิตสินค้า High-Margin เช่น น้ำมันเมล็ดในปาล์ม และน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2569 เช่นเดียวกัน 

ทั้ง 2 โครงการนี้ จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5,400 ตันต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,800 ตันต่อวัน และรองรับการแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูงขึ้น แลเตรียมพร้อมต่อยอดไปยังอุตสาหกรรม Oleochemical โดยมีมูลค่าลงทุนในโรงงาน Fatty Acid 50 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาด Consumer Product อาทิ สารลดแรงตึงผิวซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของสบู่ ครีมอาบน้ำ หรือแม้แต่ผลิตวัตถุดิบสำหรับเวชสำอาง 

กิตติภณ ประสิทธิ์ศุภผล

ยกระดับประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีใหม่

ขณะเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน บริษัทได้ทำการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการนึ่งปาล์ม เดิมทีมีการใช้หม้อนึ่งแบบดั้งเดิม แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนมาใช้ Vertical Sterilizer หรือหม้อตั้งที่เป็นแนวตั้ง การปรับเปลี่ยนนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนึ่งปาล์มได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้ได้เนื้อและน้ำมันปาล์มที่มีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นด้วย 

ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Optimize Energy) จะมีการนำส่วนที่เป็นกากปาล์ม และเชื้อเพลิงจากปาล์ม มาใช้เป็นพลังงานสำหรับกระบวนการนึ่งปาล์มด้วย 

ลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากภายนอก 

การลงทุนในเฟส 2 และ 3 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การจัดหาวัตถุดิบ ก่อนหน้านี้ บริษัทพึ่งพาการซื้อ CPO จากภายนอกหรือพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบจากภายนอกค่อนข้างสูงถึง 75% อย่างไรก็ตาม ภายหลังการลงทุนเสร็จสิ้น บริษัทจะสามารถลดการพึ่งพิงแหล่งภายนอกเหล่านี้ลงได้เหลือเพียง 50% 

โดยหลักการคือ บริษัทจะเปลี่ยนสัดส่วนจากการซื้อวัตถุดิบสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปจากภายนอก มาเป็นส่วนที่สามารถซื้อผลปาล์มสดเข้ามาแปรรูปเองได้ กลยุทธ์นี้เป็นการปรับเปลี่ยนทิศทางจากการพึ่งพาภายนอกมาเป็นการบริหารจัดการวัตถุดิบต้นน้ำด้วยตนเองมากขึ้น 

ลงทุนเทคโนโลยีและซัพพลายเชน ผลักดันการเติบโตปี 69 

“กีรติ ไชยะกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE กล่าวว่า บริษัทประกาศกลยุทธ์เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน โดยเน้นไปที่การเพิ่มสัดส่วนของสินค้า High Margin และการบรรลุประสิทธิภาพด้านต้นทุน (Cost Efficiency) ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการเพิ่มอัตรากำไรของบริษัท จาก 4-5% เป็น 5-6% ในปี 2569  

เพื่อสนับสนุนการเติบโตและประสิทธิภาพด้านต้นทุน การลงทุนที่สำคัญได้มุ่งเน้นไปที่การขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะการลงทุนในโรงงานสกัด CPO บริษัทมีแผนการลงทุนในโรงงานสกัดใหม่หลายแห่ง รวมถึงการพัฒนาโรงสกัดเฟส 3 โรงงานใหม่นี้จะติดตั้งด้วยเทคโนโลยีและกลไกใหม่ในการอบขนปาล์ม คาดว่าจะสามารถสร้างผลผลิตที่สูงขึ้นให้กับการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศได้ 

ทั้งนี้ บริษัทได้วางงบการลงทุนในปี 2569 ไว้ที่ประมาณ 600 ล้านบาท แบ่งเป็น 80% ใช้สำหรับกลุ่มโรงงานการผลิต ส่วนที่เหลืออีก 20% จะใช้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพซัพพลายเชนทั้งหมด เช่น การจัดซื้อรถขนส่งเพิ่ม การขยายพื้นที่ก่อสร้างคลังสินค้า 

พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการบุกตลาดสินค้าใหม่

เพื่อตอบสนองต่อกลยุทธ์สินค้า High Margin บริษัทได้พัฒนาร่วมกับ Nisshin OiliO ซึ่งเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้านน้ำมันพืชในประเทศญี่ปุ่น 

การร่วมวิจัยและพัฒนากับ Nisshin OiliO จะเน้นไปที่การสร้างสรรค์น้ำมันพืชที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคเฉพาะทาง เช่น น้ำมันที่ให้ความกรอบ ทอดได้นาน สีเหลืองสวย หรือน้ำมันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ หรือการประกอบอาหารประเภทเนื้อสัตว์ 

กีรติ ไชยะกุล

ในด้านตลาดผู้บริโภค บริษัทเตรียมขยายช่องทางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มภายใต้แบรนด์ “รินทิพย์” จากค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ไปสู่ค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) โดยจะเริ่มปรากฏบนชั้นวางของ 7-Eleven กว่า 15,000 สาขาทั่วประเทศ ภายในไตรมาส 2/2569 ตั้งเป้ายอดขาย 600,000 ขวดต่อเดือน หรือ 7.2 ล้านขวดต่อปี จากปัจจุบันยอดขายผ่าน Traditional Trade อยู่ที่ 1.2 ล้านขวดต่อเดือน หรือ 14.4 ล้านขวดต่อปี ทำให้ยอดขายรวมเพิ่มเป็น 21.6 ล้านขวดต่อปี   

เป้ารายได้ปี 69 โต 10-15% แตะ 31,000-34,000 ล้าน 

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2569 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ประมาณ 31,000-34,000 ล้านบาท หรือเติบโตอยู่ที่ประมาณ 10-15% จากปี 2568 โดยคาดการณ์ปริมาณการขาย CPO จะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000-520,000 ตัน ซึ่งจะเป็นสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ขณะที่ปริมาณน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นสำหรับโอลิโอเคมิคอลและส่วนผสมสำหรับช็อกโกแลต คาดว่าจะอยู่ที่ 50,000-53,000 ตัน

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์กะลาปาล์ม ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทกลับมาทำตลาดในปีนี้ โดยยอดขายปีนี้ น่าจะปิดที่ 75,000 ตัน คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2569 โดยตั้งเป้าหมายที่ 110,000-120,000 ตัน ได้รับแรงหนุนจากมาตรฐาน ESG ทำให้ลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่ต้องการสินค้าคุณภาพสูง หันมาใช้สินค้าพรีเมียมของบริษัท 

ส่วนปี 2568 บริษัทยังคงคาดการณ์รายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท จากในช่วง 9 เดือนแรก ที่มีรายได้อยู่ที่  23,610 ล้านบาท  

อย่างไรก็ตาม แม้รายได้จะเพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิกลับปรับตัวลดลง ซึ่งเกิดจากผลกระทบหลักคือความผันผวนของราคาน้ำมันปาล์มที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา และการบันทึกผลขาดทุนจากสินค้าคงคลัง ประมาณ 70-80 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 

เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา บริษัทได้พยายามปรับกลยุทธ์โดยการเร่งการหมุนเวียนสินค้าคงคลังให้เร็วขึ้น และเปลี่ยนสัดส่วนจากการซื้อน้ำมันจากภายนอก มาเป็นการสกัดน้ำมันเองให้มากขึ้น ซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น

ข่าวล่าสุด

SET ไซด์เวย์ เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง-เก็งกำไรประชุม กนง.ลดดอกเบี้ย