เช็ค! หุ้นเด่นรับกระแสโครงการ “TISA” ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท
เปิดรายชื่อหุ้นเด่นรับกระแสโครงการ “TISA” ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท หักลดหย่อน 1.3 เท่า สำหรับคนที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ส่วนรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท หักลดหย่อน 0.7 เท่า
KEY
POINTS
- รัฐบาลออกมาตรการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (TISA) เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 800,000 บาทต่อปี
- สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะแตกต่างกันตามรายได้ โดยผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางจะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนในอัตราที่สูงกว่า และมีเงื่อนไขต้องถือครองหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และถอนได้เมื่ออายุครบ 55 ปี
- โบรกเกอร์แนะนำหุ้นเด่นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มหุ้นที่รายได้เพิ่มขึ้น (เช่น ธนาคาร), กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่มี ESG Rating และกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่มี ESG Rating ระดับ AAA
ตามที่วานนี้ (8 ธ.ค.2568) ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) หรือ ครม.เศรษฐกิจ เคาะ 6 มาตรการกระต้นการออม โดย 1 ใน 6 มาตรการ คือ โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account) หรือโครงการ “TISA” เนื่องจากภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการออมเพื่อเกษียณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีช่องว่างการออมสูงสุดในปัจจุบัน
TISA คืออะไร และมีวัตถุประสงค์อย่างไร?
โครงการ TISA ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการออมในระยะยาวและเพิ่มทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายให้กับประชาชน โดยอนุญาตให้สามารถลงทุนได้ทั้งในสินทรัพย์ภายในประเทศและต่างประเทศผ่านตลาดทุนไทย TISA มีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มความเพียงพอของเงินออมระยะยาวให้ประชาชน โดยเน้นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย
คนไทยทุกคนสามารถเปิดบัญชี TISA กับผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับและตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ การเปิดบัญชี TISA จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นการเปลี่ยนผ่านจากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวรูปแบบเดิม
ปรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและลดหย่อนสูงสุด 800,000 บาท
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA จะเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน
มีการเพิ่มเพดานการหักลดหย่อนจากเดิม 500,000 บาท เป็นการนำเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสม หรือเงินซื้อหน่วยลงทุน ไปหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินปีภาษีละ 800,000 บาท
สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้ถูกออกแบบให้แตกต่างกันตามระดับรายได้ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง
1. กรณีผู้มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท สามารถหักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ของเงินที่จ่ายจริง โดยมีเพดานสูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปัจจุบันที่หักลดหย่อนได้เพียง 1 เท่า
2. กรณีผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท สามารถหักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า ของเงินที่จ่ายจริง โดยมีเพดานสูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท แม้จะน้อยกว่ากรณีแรก แต่จำนวนนี้ก็ยังสูงกว่าเพดานลดหย่อนสูงสุดปัจจุบันที่ 500,000 บาท
เงื่อนไขการถือครองและการลงทุน
สำหรับการคำนวณค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้มีเงินได้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือครองหลักทรัพย์ที่เข้มงวด โดยต้องถือหลักทรัพย์ดังกล่าวในบัญชี TISA มาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ครั้งแรก และสามารถไถ่ถอนหลักทรัพย์นั้นได้เมื่อผู้มีเงินได้มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
สิ่งที่ควรทราบ คือ การลงทุนในบัญชี TISA สามารถทำได้โดยไม่มีข้อจำกัดในจำนวนเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม ส่วนที่เกิน 800,000 บาท จะไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ สำหรับภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เกี่ยวกับเงินและผลประโยชน์ใด ๆ รวมถึงกำไรจากการขายหลักทรัพย์ จะเป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน
คัดหุ้นเด่นรับกระแส TISA
บล.เอซีย พลัส ระบุว่า รายละเอียด TISA ที่น่าสนใจ มีดังนี้
1. ทางเลือกเพิ่ม ซื้อหลักทรัพย์ และพันธบัตร นำไปลดหย่อนภาษีได้
2. ระยะเวลาถือครอง อย่างน้อย 5 ปี และต้องอายุเกิน 55 ปี
3. เม็ดเงินรวม ที่สามารลดหย่อนภาษีได้ 800,000 บาทต่อปี
4. ตัวคูณในการลดหย่อนภาษีคือ 1.3 เท่า สำหรับรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี และ 0.7 เท่า สำหรับรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี (แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 เท่า ถ้าซื้อกองทุนหรือหลักทรัพย์อิง ESG)
ข้อได้เปรียบ 1. กองทุน และหุ้นอิง ESG จะได้ลดหย่อนเพิ่มเป็น 1.2 เท่า 2. รายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้เยอะขึ้น, 3. อายุเกิน 50 ปี ถือครองไม่นาน
โดยแนะนำหุ้นรับกระแส TISA แบ่งเป็น
- หุ้นมีรายได้เพิ่มจากมาตรการ TISA ได้แก่ KBANK, KTB, BBL, SCB, ASP, KGI
- หุ้นหวังปันผลสูงเกิน 8% มี ESG RATING ได้แก่ SIRI, DRT, SC, BA, LH, PTTEP, ICHI, MC, STA, MAJOR
- หุ้นมี ESG RATING AAA ขนาดใหญ่ ได้แก่ PTT, KBANK, KTB, CPALL, BBL, CPN, SCC, TTB, CPF, OR
TISA ท่อต่อลมหายใจของตลาดหุ้นไทย
“สุวัฒน์ สินสาฎก” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด แสดงความคิดเห็นผ่านเพจเฟซบุ๊ก “AI คิดต่างอย่างพี่หมู - Art of Investment ระบุว่า
1) TISA เพียงอย่างเดียวไม่น่าเพียงพอต่อการต่อลมหายและกระตุ้นตลาดหุ้นไทย เพราะเม็ดเงินน้อยกว่า LTF ที่ยังคงไหลออกไปแล้วมากกว่า 100,000-200,000 ล้านบาท จากตลาดหุ้นไทย
2) เพราะความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยมีน้อย ในโลกปัจจุบันที่การลงทุนสามารถลงทุนได้ไม่ยากในตลาดต่างประเทศ ทำให้ต้องมีมาตราการอีกมากในการกระตุ้นทั้งสภาพคล่อง ความเหลื่อมล้ำในการลงทุนระหว่าง HFT/algo กับนักลงทุนทั่วไป จึงต้องมีมาตราการอื่น ๆ เพื่อแก้ไขจุดนี้
3) ควรมีการใช้ Thailand Fast Pass เพื่อเร่งให้ BOI และหน่วยงานรัฐอื่นเร่งร่วมมือกันเพื่อสร้างเครื่องมือทางภาษี ทางโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำ ที่ดิน ถนน ท่าเนือ สนามบิน) เพื่อให้เกิดความพร้อมและต้นทุนในการลงทุนในไทยที่สามารถแข่งขันได้กับชาติเพื่อนบ้านอื่น ๆ
4) โครงการบริษัทที่ได้รับการส่งเสริม BOI ควรที่รัฐจะมีการต่อยอด ในการเน้นให้บริษัทเหล่านี้ที่มีความสามารถในการแข่งขันและอยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ก้าวหน้าในโลกปัจจุบัน เพื่อเดินหน้าเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะทำให้บริษัทและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพิ่มความน่าสนใจและทีความแข์งแกร่งมากขึ้น เช่น หุ้น DELTA เป็นต้น
5) TISA อย่างน้อยอาจช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ ๆ ไหลเข้าและพลิกฟื้นดัชนีตลาดหุ้นไทยให้กลับคืนมาได้บ้าง แต่ยังต้องมีอีกหลายมาตรการที่ต้องนำมาช่วยฟื้นตลาดหุ้นไทย เช่น การแก้กฎหมายตลาดทุนแบบเร่งด่วน (Omnibus Law) ที่ครอบคลุมทั้งกฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายมหาชน และกฎหมายส่งเสริมการลงทุน
6) ภาครัฐและภาคเอกชนเอง ต้องร่วมมือกันในการให้ความรู้ทางการเงินต่อประชาชนและช่วยในการออกแบบที่เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของไทย ที่ในอดีตการลงทุนใน LTF ต้องประสบกับการขาดทุนมากกว่าภาษีที่ประหยัดได้เสียอีกในหลาย ๆ กรณี
7) มาตราการต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องรีบนำมาใช้ทันทีให้เร็วที่สุด เพราะปัจจุบัน นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในความโปร่งใส ความน่าสนใจในหุ้นในตลาดหุ้นไทยไปมาก เห็นได้จากเงินทุนไหลออก อีกทั้งโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยไทย จะมีเงินมาลงทุนหรือไม่ในตอนนี้ ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ


