ของมันต้องมี! เปิดลิสต์ 14 หุ้น โหนกระแส 'กำไรชัด-ปันผลสูง' ปี 2026
ปี 2026 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นไทย หลังผ่านจุดต่ำสุดปลายปี 2025 บล.บัวหลวงชี้ 5 แรงหนุนกำลังเดินหน้า 'วัฏจักรอุตสาหกรรมโลก-การลงทุนเอกชน-ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชัน-มาตรการ TISA-ดอกเบี้ยขาลง' จนถึงท่องเที่ยวฟื้นแรง พร้อมเปิดรายชื่อ 14 หุ้นเด่น ธีมกำไรชัด-ปันผลสูง
KEY
POINTS
- ปี 2026 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นไทย หลังผ่านจุดต่ำสุดปลายปี 2025
- บล.บัวหลวงชี้ 5 แรงหนุนกำลังเดินหน้า 'วัฏจักรอุตสาหกรรมโลก-การลงทุนเอกชน-ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชัน-มาตรการ TISA-ดอกเบี้ยขาลง'
- พร้อมเปิดรายชื่อ 14 หุ้นเด่น ธีมกำไรชัด-ปันผลสูง
ในทุกรอบใหญ่ของตลาดหุ้นไทย มักเห็นสัญญาณบางอย่างโผล่ขึ้นมาก่อนใครเสมอ ทั้งเสียงกระซิบจากนักวิเคราะห์, ตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มเปลี่ยนทิศ หรือแม้แต่ความเงียบผิดปกติในวันที่ตลาดนิ่งจนเหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้
ปลายปี 2568 คือช่วงเวลาที่หลายคนเหนื่อยที่สุดกับพอร์ตแดงยาว เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเหมือนกำแพงใหญ่ขวางหน้า มาตรการภาษีทรัมป์ที่กดดันการค้าโลก และตลาดไทยที่เหมือนกำลังเดินช้าๆ อยู่ในหุบเหวของรอบขาลง
แต่ในความมืดมน สัญญาณการเปลี่ยนรอบกลับปรากฏขึ้น
คลังสินค้าที่เคยล้น เริ่มต่ำลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปี เงินลงทุนใหม่ไหลเข้าสู่ธุรกิจดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์แบบที่ไม่เห็นมานาน ธนาคารเริ่มส่งสัญญาณดอกเบี้ยลง รัฐเตรียมปล่อยมาตรการที่ดึงเงินลงทุนกลับสู่ตลาดทุน และตัวเลขท่องเที่ยวที่เคยนิ่ง กลับเริ่มขยับขึ้นเหมือนลมหายใจแรกหลังการพักยาว
ทั้งหมดนี้คือฉากหลังของปี 2569 ปีที่หลายสำนักเริ่มมองว่าเป็น "จุดพลิกกลับ" ของตลาดทุนไทย
และ "บล.บัวหลวง" คือหนึ่งในเสียงสำคัญที่ออกมาชี้ภาพใหญ่ว่า…ปี 2569 อาจไม่ใช่ปีธรรมดา แต่เป็นปีที่ "รอบฟื้นใหม่" ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
จุดยืนปี 2569
บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ในปี 2569 หุ้นไทยคาดทยอยฟื้นตัวได้ หลังเศรษฐกิจไทยคาดผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/2568 - ไตรมาาส 4/2568 กดดันจากเศรษฐกิจโลกชะลอ ผลกระทบมาตรการภาษีทรัมป์ และยังคงกดดันต่อไตรมาส 1/2569 แต่คาดเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2/2569 ตามเศรษฐกิจโลก และฟื้นชัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2569
ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินเป้าหมาย SET สิ้นปี 2569 ที่ 1,440 จุด อิงกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2569 ที่ 90 คิดเป็น +9.8% โดยใช้ PER ที่ 16.0 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีราว 0.25SDแรงหนุนตลาดหุ้นไทยในปี 2569 คาดมาจาก
1) วัฏจักรสะสมสินค้าคงคลังรอบใหม่ (restocking cycle) หนุนการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลกในปี 2569 แต่ก่อนอื่นจะเห็นการระบายสินค้ารอบใหญ่ในช่วง 1-2 ไตรมาส หลังมาตรการภาษีทรัมป์เริ่มใช้กดดันการค้าโลกในช่วงไตรมาส 4/2568 ถึงไตรมาส 1/2568
แต่จะตามมาด้วยวัฏจักรสะสมสินค้าคงคลังรอบใหม่ในช่วงไตรมาส 2 หลังตัวเลขสัดส่วนสินค้าคงคลังต่อคำสั่งซื้อใหม่สหรัฐฯ (US PMI Inventory-to-New Orders) อยู่ใกล้เคียงระดับต่ำสุดในรอบหลายปี (ไม่รวมช่วงวิกฤติ)
2) การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตัวเลข BOI เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนโดยปกติจะทยอยเข้ามาหลังจากการอนุมัติรับการส่งเสริมการลงทุน BOI เฉลี่ยราว 1 ปี ดังนั้น คาดเม็ดเงินจะเข้ามาหนุนการลงทุนภาคเอกชนชัดเจนต่อเนื่องในปี 2569-2570
3) มาตรการกระตุ้นตลาดทุนโครงการบัญชีออมหุ้นระยะยาว (TISA) คาดหนุนเม็ดเงินไหลเข้า
4) นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง จะหนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติม คาด กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในปี 2569 เหลือ 1.00% จากคาด 1.25% ในปี 2568
5️) การทยอยฟื้นตัวของการท่องเที่ยว จะยังเป็นแรงส่งให้กับภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยการท่องเที่ยวทำจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2/68 และจะเริ่มฟื้นในไตรมาส 4/68 ต่อเนื่องไปถึงปี 2569
ปัจจุบันคาดนักท่องเที่ยวราว 33.2 ล้านคนในปี 2568 ลดลงจากปี 2567 แต่คาดจะฟื้นตัวขึ้นราว 34 ล้านคนในปี 2569
ความเสี่ยงสำคัญ เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอกว่าคาด ทั้งจากสหรัฐฯ (ภาคแรงงานฯ) และจีน (ภาคอสังหาฯ), หนี้ครัวเรือนไทย-ระดับหนี้เสียอยู่ในระดับสูง, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ
หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า อาจกดดันการเบิกจ่ายงบลงทุน ซ้ำเติมงบลงทุนที่มีวงเงินน้อยกว่าปีก่อนอยู่แล้ว 7.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับช่วงปี 2026 ยังเน้นหุ้นที่ "กำไรชัด / ปันผลสูง" โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมดังนี้
- โอกาส #1 “กลุ่มผู้นำการเติบโตธีมดาต้าเซ็นเตอร์ - Digital transformation” ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL, บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF
- โอกาส #2 “กลุ่มที่กำไรคาดเติบโตต่อเนื่อง/ผ่านจุดต่ำสุด-ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ” ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG
- โอกาส #3 “กลุ่มปันผลสูง-กระแสเงินสดสม่ำเสมอ-ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุน TISA” ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC
- โอกาส #4 “กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก” ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC, บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC
สำหรับ PTTGC และ SCC แนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวในไตรมาส 1/2569 เพื่อรอรับรอบฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี.


