TFM งบ Q3/68 กวาดกำไรสุทธิ 223 ล้าน พุ่ง 47.8% สูงสุดเป็นประวัติการณ์
TFM ไตรมาส 3/68 โกยกำไรสุทธิ 223 ล้านบาท พุ่ง 47.8% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับยอดขายพุ่ง สะท้อนความแข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอาหารกุ้งโตก้าวกระโดดทั้งในไทยและอินโดนีเซีย หนุน 9 เดือน กำไรสุทธิ พุ่ง 42.8% แตะ 549 ล้านบาท
KEY
POINTS
- TFM ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/68 ทำกำไรสุทธิ 223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.8% และมียอดขาย 1,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- การเติบโตมีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจอาหารกุ้งที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งทั้งในไทยและอินโดนีเซีย รวมถึงยอดขายอาหารปลากะพงที่เพิ่มขึ้น
- อัตรากำไรดีขึ้นจากการปรับไปสู่สินค้ามาร์จิ้นสูง ต้นทุนวัตถุดิบลดลง การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี (BOI)
- คาดรายได้ปี 68 เติบโต 7-9% จากโมเมนตัมที่แข็งแกร่งของธุรกิจอาหารกุ้งและอาหารปลาในประเทศไทย รวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการในอินโดนีเซีย
บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยยอดขาย 1,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9 เปอร์เซ็นต์ และกำไรสุทธิ 223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.8 เปอร์เซ็นต์สะท้อนความแข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอาหารกุ้งที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในไทยและอินโดนีเซีย เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจอาหารสัตว์น้ำแบบยั่งยืน
บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM รายงานผลการดำเนินไตรมาส 3/2568 มียอดขาย 1,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แรงหนุนหลักมาจากผลิตภัณฑ์อาหารกุ้งซึ่งเพิ่มขึ้นจากความต้องการในประเทศที่แข็งแกร่งของลูกค้ารายสำคัญ รวมถึงยอดส่งออกจากไทย ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารปลา มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแรงหนุนของปริมาณขายอาหารปลากะพงที่เพิ่มขึ้น สะท้อนการขยายส่วนแบ่งตลาดและความเป็นผู้นำของ TFM ในตลาดอาหารปลากะพงอย่างต่อเนื่อง
ด้านกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 21.8% เพิ่มขึ้น 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากยอดขายที่สูงขึ้น การปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ไปสู่กลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงเหลือ 7.1% จาก 7.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุน อีกทั้งอัตราภาษีที่แท้จริงลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังจากเริ่มรับรู้สิทธิประโยชน์ BOI สำหรับการผลิตอาหารกุ้งที่โรงงานสงขลา และอาหารปลาที่โรงงานสมุทรสาคร
ดังนั้นส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2568 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 13.2% สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 0.46 เท่า
“ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยยอดขายและกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความแข็งแกร่งของหลายกลุ่มธุรกิจ” นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าว
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมียอดขายรวม 4,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำการเติบโตที่มั่นคง
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2568 มีมติอนุมัติการขายเงินลงทุนทั้งหมดใน AMG–Thai Union Feedmill (Private) Limited (AGM-TFM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในปากีสถานที่ TFM ถือหุ้น 51% เพื่อปรับโครงสร้างเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน และเพิ่มประสิทธิภาพรวมถึงเสริมความสามารถการแข่งขันในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ และแม้ AMG-TFM จะไม่เป็นบริษัทย่อยอีกต่อไป แต่ TFM ยังคงความร่วมมือในรูปแบบการสนับสนุนด้านเทคนิค โดยจะให้ความช่วยเหลือด้านความรู้และเทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้งแก่ AMG-TFM ต่อไป
นายพีระศักดิ์ กล่าวว่า เป้าหมายปี 2568 คาดรายได้ของบริษัทจะเติบโต 7-9% จากโมเมนตัมที่แข็งแกร่งของธุรกิจอาหารกุ้งและอาหารปลาในประเทศไทย รวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการในอินโดนีเซียหลังการระบาดของโรค คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พอร์ตโฟลิโอที่มีคุณภาพ และการบริหารต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่จะควบคุมสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายให้อยู่ในระดับ 8-10%


