ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนหน้า “ร้อนแรง” หวังเงินไหลเข้าหนุน
FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า (พ.ย.68) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” การเมืองในประเทศ ฉุด หวังเงินทุนไหลเข้า หนุน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2568 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-31 สิงหาคม 2568) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2568) ปรับขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ที่ระดับ 120.22
ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2568 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับเพิ่ม 11.0% อยู่ที่ระดับ 96.55 อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับเพิ่ม 67.1% อยู่ที่ระดับ 130.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ปรับลด 6.1% อยู่ที่ระดับ 130.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับเพิ่ม 100.00% อยู่ที่ระดับ 133.33 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กนง.
ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
ขณะเดียวกัน หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP)
ตลอดเดือนสิงหาคม 2568 ดัชนี SET เคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันทั้งจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาว แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ จากกรณีคลิปเสียงหลุดกับฮุน เซนของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหนุนจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน
โดย SET Index ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 ปิดที่ 1,236.61 ปรับตัวลดลง 0.46% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ 50,672 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 21,816 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิรวม 84,384 ล้านบาท
ทางด้านปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ นโยบายการเงินและการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED และทิศทางการเจรจาการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-จีน หลังตกลงขยายเวลาชะลอภาษีไปอีก 90 วัน
ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองไทยในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย การเบิกจ่ายงบประมาณ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผลการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อ "คดีชั้น 14“ ของนายทักษิณ ชินวัตร และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา


