ส่องปัจจัยภายนอก-ในประเทศ หนุนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้
เปิด 3 ปัจจัยภายนอก-ในประเทศ หนุนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้น จากความคาดหวังวัฏจักรดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง-ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า จากเงินบาทแข็งค่า-การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
KEY
POINTS
- เปิดปัจจัยภายนอก-ในประเทศ หนุนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้น ปัจจัยต่างประเทศ จากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าและดึงดูดกระแสเงินทุนไหลเข้า
- ปัจจัยในประเทศมาจากการคาดการณ์นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น โดยมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกครั้ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากภาครัฐ
- สถิติในอดีตชี้ว่าตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงเวลาประมาณ 2 เดือนหลังเกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย วันนี้ (25 ส.ค.) ล่าสุด เวลา 15.10 น. ปรับเพิ่มขึ้น 9.60 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.77% มาอยู่ที่ 1,262.99 จุด ระหว่างวันขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 1,268.13 จุด (+14.74 จุด) และลงไปต่ำสุดที่ 1,260.76 จุด (+7.37 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 30,969.63 ล้านบาท
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทย มีแรงหนุน ทั้งปัจจัยภายนอกและในประเทศ โดยเม็ดเงินมีการไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง จากความคาดหวังวัฏจักรดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง, FUND FLOW มีโอกาสไหลหนุนหุ้นไทย จากค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ต่างชาติได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม อีกทั้งเวลามีประเด็นการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ตลาดหุ้นไทยมักจะขึ้นได้ดีราว 10% ในช่วงเวลา 2 เดือน
ทั้งนี้ ในงานประชุม JACKSON HOLE ประธาน FED (POWELL) กล่าวในสุนทรพจน์ว่า ส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือน ก.ย.2568 โดยให้น้ำหนักมากขึ้นกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในตลาดแรงงานสหรัฐฯอ่อนแอ (การจ้างงานเสี่ยงขาลง) ขณะเดียวกันยังต้องจับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังสูงเกินเป้าหมาย 2% อีกทั้งอาจมีผลกระทบจากภาษีนำเข้า (TARIFFS) ที่เริ่มส่งผลต่อราคาสินค้า (เงินเฟ้อเสี่ยงขาขึ้น) อย่างไรก็ดี FED ยังไม่ตัดสินใจล่วงหน้า แต่พร้อมปรับท่าทีหากข้อมูลเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง
สำหรับคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยจาก FEDWATCH TOOL ตลาดฯ ให้น้ำหนักมากขึ้นเป็น 87% (เดิม 75%) คาด FED เริ่มลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้ และครั้งถัดไปอาจอยู่ในช่วงไตรมาส 4/2568
กรณี FED เปิดทางปรับลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ สวนทางกับ ECB ที่มีแนวโน้มชะลอการปรับลดดอกเบี้ย บวกกับ BOJ ที่อาจขยับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต อาจเป็นเหตุให้เงินยูโรและเงินเยนแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกดดันดอลลาร์อ่อนค่าลงในเชิงเปรียบเทียบ
ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนจาก TRADE TARIFF ทำให้ประเทศต่างๆใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นรวมถึงไทยที่มีโอกาสเห็นมาตรการที่จะเข้าประคับประคองทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินในอนาคต ซึ่งทิศทางดอกเบี้ยไทยครึ่งหลังปี 2568 มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ราว 0.25% สะท้อนผ่านตราสารหนี้ไทยอายุน้อยกว่า 10 ปีที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ทั้งสิ้น โดยตราสารหนี้ไทยอายุ10 ปี อยู่ระดับ 1.33%(สะท้อนการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง)
ส่วนนโยบายการคลัง วงเงินงบประมาณปี 2569 3.78 ล้านล้านบาท (+0.7%YoY) โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำ ประมาณ 2.92 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 77.3% ของงบทั้งหมด และรายจ่ายลงทุน ประมาณ 860,000 ล้านบาท หรือ 22.7% ของงบทั้งหมด โดย รมช.คลัง เตรียมออกมาตรการกระตุ้นบริโภค-ท่องเที่ยวช่วงที่เหลือของปีและให้ความมั่นใจว่ากระบวนการในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายฯ ปี 2569 จะแล้วเสร็จทันประกาศใช้ภายในวันที่ 1 ต.ค.2568 ซึ่งน่าจะเป็นตัวช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยปี 2568 ให้มีโอกาสให้เติบโตเกิน 2% ได้
ส่วนตัวเลขส่งออก-นำเข้าไทย เดือน ก.ค.2568 โดนส่งออก +11%YoY สูงกว่าที่คาด +9.6%YoY แต่ลดลงจากเดือนก่อน +15.5%YoY) และนำเข้า +5.1%YoY สูงกว่าที่คาด +4.5%YoY แต่ลดลงจากเดือนก่อน +13.1%YoY
วันศุกร์นี้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา-ปรึกษาหารือ-และลงมติกรณีคดีคลิปเสียงของคุณแพทองธารนั้นมีความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งแยกเป็น 2 ทางเลือกทางการเมืองหลักจากนี้
1. หากศาลชี้ว่า “ผิด”
- อาจมีผลให้คุณแพทองธาร สิ้นสภาพความเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ม.170
- เปิดช่องให้เกิดการเลือกนายกฯ คนใหม่ในสภา
- พรรคเพื่อไทยอาจยังคงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากเสียงยังมั่นคง แต่จะเกิด “สุญญากาศทางการเมือง” ชั่วคราว
2. หากศาลชี้ว่า “ไม่ผิด”
- คุณแพทองธารยังดำรงตำแหน่งต่อ และเพิ่มความชอบธรรมทางการเมือง
- ฝ่ายตรงข้ามอาจลดการโจมตี แต่ก็ยังคงมีแรงกดดันเรื่องความโปร่งใส
กลยุทธ์การลงทุนเน้น 3 ธีม
- หุ้นวัฎจักรดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ MTC, SAWAD, TIDLOR, KTC
- หุ้นรับบาทแข็ง ได้แก่ GULF, BGRIM, GPSC
- หุ้นขนาดใหญ่ BETA สูง ได้แก่ DELTA, WHA, AMATA, PTTGC, SCGP, AAV, SCC, AOT, SJWD, ERW, CENTEL


