posttoday

จับตาปิโตรเคมีไทย! หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ

21 สิงหาคม 2568

เศรษฐกิจโลกผันผวน นโยบายสิ่งแวดล้อมกดดัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเจอสองแรงบีบ ซัพพลายพุ่ง-ดีมานด์ชะลอ ผู้ผลิตไทยต้องเร่งปรับตัวด้วยกลยุทธ์ต้นทุน-นวัตกรรม-ตลาดมูลค่าสูง พร้อมรับศึกเวทีโลก

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจโลกผันผวน นโยบายสิ่งแวดล้อมกดดัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเจอสองแรงบีบ ซัพพลายพุ่ง-ดีมานด์ชะลอ
  • ผู้ผลิตไทยต้องเร่งปรับตัวด้วยกลยุทธ์ต้นทุน-นวัตกรรม-ตลาดมูลค่าสูง พร้อมรับศึกเวทีโลก

ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวนและมาตรการสิ่งแวดล้อมเข้มข้น อุตสาหกรรมปิโตรเคมีถูกบีบให้เร่งปรับตัวทั้งเพื่อต่อต้านวิกฤตและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน นี่คือที่มางานสัมมนา The 16th PTT Group Petrochemical Outlook Forum  ภายใต้แนวคิด “The Survival of the Petrochemical Industry Amid Economic Changes and Sustainability Shifts” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 16 โดยสมาชิก PRISM Petrochemical Market Outlook ของ กลุ่ม ปตท.

จับตาปิโตรเคมีไทย!  หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ

GC พลิกเกม! 4 ยุทธศาสตร์ฝ่าดาวน์ไซเคิล Olefins–Polyolefins

“ลักษมณ ดีวงกิจ” Analyst บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ยอมรับว่าตลาด Olefins ได้แก่ Ethylene, Propylene และตลาด Polyolefins ได้แก่ Polyethylene (PE) และ Polypropylene (PP) อยู่ในช่วง Down Cycle สะท้อน 2 ปัจจัยคือ “อุปทาน (Supply)” จากกำลังการผลิตใหม่เกินความต้องการของตลาด เนื่องจากนโยบายการพึ่งพาตนเอง (Self-Sufficient) ของจีน

การเร่งสร้างกำลังการผลิตใหม่ของผู้ผลิต เนื่องจากคาดว่าอุตสาหกรรมยังคงมีกำไรต่อเนื่อง จากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา, กำลังการผลิตใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกำลังผลิตใหม่ของสหรัฐอเมริกา, ตะวันออกกลาง ซึ่งมีต้นทุนในการผลิตต่ำที่สุดของโลก โดยคาดการณ์ว่ากำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2028 และกำลังการผลิตกว่าครึ่งหนึ่งมาจากประเทศจีน

ปัจจัยที่สอง คือ “อุปสงค์ (Demand)” ชะลอตัวลง เนื่องจากโควิด-19 ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายทางเปลี่ยน บวกกับเศรษฐกิจอ่อนตัวจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง กดดันความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการ อีกทั้งการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ของประเทศจีนต่ำกว่าคาดการณ์

ที่สำคัญนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเม็ดพลาสติกใหม่ลดลง ซึ่งคาดการณ์ตลาด PE และ PP ใน 5 ปีข้างหน้าจะฟื้นตัวขึ้นและเติบโตต่อปีเฉลี่ยราว 3.2% และ 3.5% ตามลำดับ โดยภูมิภาคอินเดียและแอฟริกา จะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดของโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า

การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก ตลอดจนตลาด PE และ PP ที่อาจทำให้การเติบโตในปี 2025 และ 2026 ของภาคอุปสงค์ปรับตัวลดลงจากที่คาดการณ์ก่อนหน้า

จับตาปิโตรเคมีไทย!  หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ

ทิศทางราคา PE และ PP ในอนาคตเป็นอย่างไร ?

กลุ่ม PRISM ปตท. คาดว่า Spread ของ HDPE Film CFR SEA เทียบกับ Naphtha MOPJ และ Spread ของ PP Yarn CFR SEA เทียบกับ Naphtha MOPJ จะไม่เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันมากนัก เนื่องจากภาวะอุปทานล้นตลาด สิ่งที่ผู้ผลิตต้องปรับตัว คือ การมีต้นทุนที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะการใช้วัตถุดิบที่แข่งขันได้ เช่น อีเทน มาเป็นวัตถุดิบหลัก ในกระบวนการผลิตการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ เช่น การควบรวมกำลังการผลิตและการปิดกำลังการผลิตที่มีต้นทุนสูง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต เช่น Thermal Crude to Chemical (TC2C)

4 ยุทธศาสตร์ปรับเกม GC

1.การเพิ่มขีดความสามารถด้านต้นทุน จากการใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบ รายแรกของไทย

2.การมีกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอย่างครบวงจร ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ และมีสินค้าที่หลากหลาย

3.การขยายพอร์ตโฟลิโอไปยังผลิตภัณฑ์ High Performance Polymer, Specialty, Bio-Based, และ Recycled เพื่อรองรับเทรนด์การเติบโตในอนาคต

4.การขาย และการตลาดที่เน้นตลาดเป็นศูนย์กลาง สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ในทุกเปลี่ยนแปลง

อุปทานล้น! ไทยออยล์ชูยุทธศาสตร์ 3V รับมือเกมโลก

“ชุติภา เรืองศรีมั่น” นักวิเคราะห์การพาณิชย์ จาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ประเมินภาพรวมตลาดสารพาราไซลีน (PX) ยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด สาเหตุจากการผลิตส่วนเกินในประเทศจีนที่เกิดขึ้นมากจากการตั้งเป้าหมายการถึงจุดสูงสุดของการปล่อยคาร์บอน (Carbon Peak) ภายในปี 2030 ภายใต้แผนการลดการปล่อยคาร์บอนแห่งชาติของจีน (Decarbonization Timeline) ส่งผลให้จีนมีการเร่งเปิดดำเนินการของหน่วยผลิตใหม่ทั้งจากผู้ผลิตในจีนเอง

รวมถึงความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น การร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่างซาอุดีอาระเบียและจีน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้อุปสงค์ของ PX จะยังคงเติบโตอย่างคงที่ แต่ก็ถูกกดดันจากแนวโน้มด้านความยั่งยืน เช่น การรีไซเคิล ซึ่งส่งผลต่อการใช้วัตถุดิบในอุตสาหกรรมปลายน้ำ ถึงแม้จะยังคงมีสัดส่วนไม่สูงนักก็ตาม

ภาพรวมตลาดสารเบนซีน (BZ) เผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดเช่นกัน ผลจากกำลังการผลิตใหม่ในภูมิภาคโดยเฉพาะจากจีน ทั้งนี้การผลิตสารเบนซินหลักจะมีกระบวนการผลิตที่ได้จากโรงกลั่น โรงอะโรเมติกส์ และโรงโอเลฟินส์ ซึ่งสารเบนซินที่ผลิตได้จากโรงโอเลฟินส์อาจมีปริมาณที่มากกว่านี้แต่เนื่องจากแต่เนื่องจากโรงผลิตสารโอเลฟินส์เผชิญกับผลกำไรที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานานทำให้ผู้ผลิตที่มีต้นทุนสูงที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันทั้งในยุโรปและญี่ปุ่นเกิดการปิดตัวลง (Rationalization) หรือมีการปรับกลยุทธ์การผลิต โดยหันมาใช้วัตถุดิบที่เบากว่า เช่น ก๊าซอีเทน (Ethane) และ LPG จึงทำให้มีสัดส่วนการผลิตสาร Benzene ต่ำกว่า การใช้ แนฟทา (Naphtha)

ด้านอุปสงค์สาร Benzene ยังคงเติบโตอย่างคงที่ โดยมีแรงสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น Styrene Monomer ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของอุตสาหกรรมเหล่านี้ในจีนยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้การเติบโตของอุปสงค์สาร Benzene ถูกกดดัน

ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อตลาด Aromatics หนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ สงครามการค้า (Trade War) โดยในช่วงปี 2018–2019 ประเทศจีนได้รับผลกระทบจาก Trade War (Trump 1.0) ซึ่งส่งผลต่ออุตสาหกรรมเกษตร ไฟฟ้า เทคโนโลยี และโลหะ ขณะที่ Trade War (Trump 2.0) มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยมุ่งเป้าไปยังหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกษตร ไฟฟ้า เทคโนโลยี ยานยนต์ และปิโตรเคมี

นอกจากนี้ นโยบายภาษีศุลกากร (Tariff Policy) ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดย IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในเดือนเมษายน 2568 เติบโตที่ร้อยละ 2.8 ถึงแม้จะมีการปรับคาดการณ์ในเดือนกรกฎาคม 2568 ขึ้นมาที่ร้อยละ 3.0 แต่ก็ยังต่ำกว่าคาดการณ์ในเดือนตุลาคม 2567 ที่มีการคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.2 ก่อนมีการประกาศการใช้มาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของสาร Aromatics และการเปลี่ยนแปลงของ Trade Flow รวมถึงส่วนต่างราคาสาร Aromatics และ  Naphtha

จับตาปิโตรเคมีไทย!  หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ

เปิด 2 แนวทางสำคัญ 

1. EBITDA Maximization  

1.1  Integrated petrochemical complex: Crude into Chemicals เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปวัตถุดิบให้สูงขึ้น

1.2  Flexible production อย่างการใช้ Naphtha การใช้ Naphtha เพื่อผลิตทั้งเชื้อเพลิงและสาร Aromatics 

1.3 Research & Development (R&D) การพัฒนานวัตกรรมในการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ทั้งการผลิต Specialty products และ ผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่มีคุณค่าสูง (High Value Products/Business)

1.4 Collaboration: การทํา Business collaboration จะสามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตเพราะจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง และมีต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง รวมถึงความสามารถในการขยายส่วนแบ่งในตลาดได้

2. การขยายตลาดใหม่

การสำรวจตลาดใหม่ เช่น แอฟริกาและอินเดีย เป็นตลาดที่น่าจับตามองเพื่อลดปัญหาอุปทานล้นตลาดในธุรกิจ Aromatics โดยทั้งสองภูมิภาคมีการเติบโตของ GDP ที่โดดเด่น ประชากรวัยทำงานจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในระดับสูง จึงถือเป็นโอกาสใหม่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับธุรกิจสาร Aromatics

กลยุทธ์ 3V ไทยออยล์

ไทยออยล์ดำเนินกลยุทธ์ 3V เพื่อสร้างความยั่งยืนในตลาด Aromatics ได้แก่

1. Value Maximization(Integrated Crude to Chemicals)ต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียมไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง(High Value Products)

2. Value Enhancement(Integrated Values Chain Management)เสริมความแข็งแกร่งในประเทศขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาคเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม รองรับการเติบโตของธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในอนาคต รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น

3. Value Diversification ลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (High Value Business) เช่น ธุรกิจ Disinfectant & Surfactant และ ธุรกิจ New S-Curve อื่นๆให้สอดคล้องต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก

IRPC ชี้ปิโตรเคมีโลกเดือด! ซัพพลายล้น-ดีมานด์ชะลอ เร่งเกม High Value Added

คุณเดชาธร ฐิสิฐสกร, Marketing Strategy and Analyst บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ประเมินสถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีปัจจุบันอยู่ในจุดที่ไม่สมดุล อันเนื่องมาจากปริมาณ Supply ที่เกิดใหม่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการใช้ Demand กลับชะลอตัวลงต่อเนื่องผลจากสภาวะการณ์โลกตั้งแต่ปี 2020 เหตุการณ์การระบาดของเชื้อ Covid-19 ในปี 2021 การปรับตัวของค่าขนส่งทั่วโลกจากปี 2022

สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และปี 2023 - 2024 ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง เหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนำมาสู่ปี 2025 ที่โลกกำลังเจอสงครามทั้ง 3 รูปแบบ ทั้ง สงครามเทคโนโลยี สงครามการค้า และสงครามภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลต่อการย้ายฐานการผลิต Supply Chain ที่เปลี่ยนไป จนเกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกและราคาพลังงานผันผวนกดดัน Demand การเติบโตของปิโตรเคมี

ทว่าปริมาณของ Supply กลับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 และในอีก 5 ปีข้างหน้า (ช่วงระหว่างปี 2025 - 2030) จะมีกำลังการผลิตของ PE และ PP รวมกัน 70 ล้านตัน และกำลังการผลิตส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจากประเทศผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ภูมิภาค ได้แก่ สหรัฐอเมริกา กลุ่มตะวันออกกลาง และจีน ซึ่งแต่ละประเทศมีความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันของปิโตรเคมีที่แตกต่างกัน
การแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังถูกยกระดับจากการแข่งขันในระดับภูมิภาค เป็นการแข่งขันระดับเวทีโลก เพราะประเทศไทยกำลังจะต้องแข่งขันกับผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะเข้ามาแข่งขันในตลาดเอเชีย 

“สหรัฐอเมริกา” มีทรัพยากร Shale Gas ในปริมาณมหาศาลและสามารถที่จะสกัด Feedstock ซึ่งเป็นวัตถุดิบการผลิตปิโตรเคมี อย่าง อีเทน(Ethane)ได้ในราคาที่ต้นทุนถูกกว่าประเทศอื่น ทางสหรัฐฯจึงดำเนินการขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2021 เป็นต้นมา และเริ่มขยายปริมาณการส่งออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2024 ทางสหรัฐฯ ส่งออกผลิตภัณฑ์ Polyethylene เพิ่มสูงถึง 14 ล้านตัน อีกทั้งปริมาณการส่งออกสู่ภูมิภาคต่างๆ อาทิ กลุ่มประเทศแถบเอเชียเองนั้นก็มีปริมาณการส่งออกทิศทางที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการที่สหรัฐฯเริ่มปรับยุทธศาสตร์ตลาดปิโตรเคมีบุกมาที่เอเชียต่อจากนี้

จับตาปิโตรเคมีไทย!  หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ

“กลุ่มประเทศวันออกกลางอย่างซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรต” กำลังขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกในช่วงระหว่างปี 2025 – 2027 ทั้งนี้กลุ่มผู้ผลิตตะวันออกกลางมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านทรัพยากรและ Scale กำลังการผลิตจัดได้ว่าเป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีความสามารถในการแข่งขันอยู่ในลำดับต้นๆของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลก 

โดยมุมมองของกลุ่มผู้ผลิตตะวันออกกลางเล็งเห็นว่าประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 4% ต่อปี (GDP Growth) และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเอเชียกับตะวันออกกลางที่ผ่านมา จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กลุ่มประเทศตะวันออกกลางหันมาเพิ่มปริมาณการค้าในโซนเอเชียเพิ่มขึ้น

“ประเทศจีน” แต่เดิมเป็นผู้นำเข้าปิโตรเคมีสำหรับการผลิตของอุตสาหกรรมในประเทศ แต่หลังจากสงครามการค้ากับสหรัฐรอบที่ 1 ในปี 2019 ส่งผลให้ประเทศจีนได้พิจารณาถึงความสำคัญของการเติบโตเศรษฐกิจจากภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงการมีวัตถุดิบตั้งต้นตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ครบวงจรภายในประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 

และเพื่อเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีน ต่อแผนการ Made in China 2025 หรือ China Standard 2035 ที่ถูกยกระดับขึ้นมา ที่จีนตั้งเป้าหมายที่จะเป็นโรงงานผู้ผลิตสำหรับโลก รวมถึงบรรลุยุทธศาสตร์ One Belt One Road แต่จีนจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้หากปราศจากวัตถุดิบอย่างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้นน้ำที่สำคัญ จีนจึงเร่งขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีขึ้นมาอย่างมหาศาล เพื่อรองรับอุตสาหกรรมภายในประเทศ และมี Surplus ส่วนเกินที่จะส่งออกมายังตลาดโลกเช่นกัน

ปิโตรเคมีเปลี่ยนสู่ความท้าทายและแข่งเดือด!

การแข่งขันด้าน Feedstock ที่ผู้ผลิตแต่ละโรงจะต้องสรรหาและปรับตัวไปใช้ Feedstock ที่หลากหลายสร้างความได้เปรียบต่อต้นทุนการผลิต ด้วยสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องมีผลต่อราคาต้นทุน Feedstock ที่เปลี่ยนแปลง ผู้ผลิตที่มีสามารถปรับตัวใช้ Feedstock ได้หลากหลายจะสามารถเสริมความได้เปรียบต่อการแข่งขันได้ดีกว่า

สถานการณ์และทิศทาง Deglobalization ที่เกิดขึ้นระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของ Global Shift Value Chain หรือ Supply Chain ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระทบ Trade Flow การแข่งขันปิโตรเคมีจากประเทศต่างๆที่ไหลเพิ่มเข้าสู่ตลาดเอเชียและไทย

ปริมาณการแข่งขันที่มาจากต่างประเทศ รวมถึงการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศทั้งกลไกราคาและสัดส่วนตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากต่างประเทศ

ดังนั้น การปรับตัวจึงสำคัญต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ต้องเร่งดำเนินการผ่าน 3 แนวทาง 

1. การสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า High Value Added ในการแข่งขัน

2. การจัดสรรและบริหาร Feedstock เพื่อสร้างความได้เปรียบเพิ่มด้านการผลิต 

3. การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต Operation Excellence จะเป็นแนวทางสำคัญที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องปรับตัวต่อการแข่งขันในบริบทโลกใหม่

“อุตสาหกรรมปิโตรเคมี” ถือเป็นรากฐานสำคัญของประเทศไทย การพัฒนาเศรษฐกิจหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต S-Curve หรือการดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากประเทศไทยปราศจากอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญของตนเอง

อย่างไรก็ดีการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมองว่าจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังปี 2028 เมื่อกำลังการผลิตส่วนเพิ่มจะเริ่มหยุดขยายส่วนเพิ่ม ขณะที่ Demand ถูกกระตุ้นขึ้นอย่างมหาศาลจาก Mega Project ที่ประเทศต่างๆประกาศปฎิวัติอุตสาหกรรม อาทิ China Stand 2035 และ Make In India เริ่มสร้าง Demand การผลิตครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคต

นอกจากทีมนักวิเคราะห์ PRISM Expert ของกลุ่ม ปตท. แล้ว ภายในงานยังมีวิทยากรจากองค์กรต่าง ๆ ในแวดวงปิโตรเคมีและอื่น ๆ มาร่วมสื่อสารแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวทางการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประกอบด้วย ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Global & Thailand Economic Outlook: Assessing the Influence of Tariff Policies” และคุณนภดล ศิวะบุตร รองประธานสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Extended Producer Responsibility (EPR): A Pillar of Sustainability for the Petrochemical Industry”

จับตาปิโตรเคมีไทย!  หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ จับตาปิโตรเคมีไทย!  หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ

โดยในช่วงท้ายของงาน มีการแลกเปลี่ยนมุมมองถึงกลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในเวทีเสวนา “How to Adapt to the New Era of the Petrochemical Business” โดย คุณบริบูรณ์ เสงี่ยมบุตร Vice President of Business Development บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL) และ คุณธงฉาน สงวนวงษ์ Head of Business Development – Commercial บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCGC) อีกด้วย.

จับตาปิโตรเคมีไทย!  หลังตลาดโลกแข่งดุ GC-TOP-IRPC เร่งเกม High Value Added ฝ่าวิกฤติ

ข่าวล่าสุด

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม