THAI ปิดเท่าเดิม 10.50 บาท บินไกลด้วยแผน MRO- ลุ้นฝูงบินใหม่ปั้นรายได้ 4 แสนล้าน
"การบินไทย (THAI)" ปิดเทรดสวยงาม 10.50 บาท ผู้บริหารมั่นใจพื้นฐานแกร่ง เดินหน้าศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา-ฝูงบินใหม่ 150 ลำหนุนเป้ารายได้ 4 แสนล้านปี 2576
KEY
POINTS
- "การบินไทย (THAI)" ปิดเทรดสวยงามแตะ 10.50 บาท ผู้บริหารมั่นใจพื้นฐานแกร่ง
- เดินหน้าศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา-ฝูงบินใหม่ 150 ลำหนุนเป้ารายได้ 4 แสนล้านปี 2576
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI" เปิดการซื้อขายครั้งแรก 4 ส.ค.68 ที่ราคา 10.50 บาท ระหว่างวันราคาขึ้นสูงสุด 11.00 บาท และลดลงต่ำสุด 8.55 บาท
ก่อนกลับมาปิดที่เดิม 10.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,216.29 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 297,184.56 ล้านบาท
นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า การบินไทยกลับเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้งอย่างเป็นทางการ หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ครั้งสำคัญในฐานะสายการบินของคนไทย
และต้องขอบคุณประชาชนที่เชื่อมั่นต่อการบินไทย สะท้อนจากตัวเลขต่างๆ ที่เป็นข้อเท็จจริงเห็นอยู่แล้วว่าวันนี้เราแข็งแกร่งมากแค่ไหน โดยแผนธุรกิจหลังจากนี้จะต้องต่อยอดให้ได้ตามแผนฟื้นฟูที่ทำมา
"การบริหารจัดการภายในดีมากแล้ว แต่เรายังขาดฮาร์ดแวร์ คือเครื่องบินที่เรายังมีไม่พอ เพราะหากมีเครื่องบินมากกว่านี้ เชื่อว่าเราจะทำรายได้ให้กับการบินไทยได้สูงกว่านี้"
สำหรับแผนการจัดหาเครื่องบินหลังจากนี้ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ช่วงการฟื้นฟู ซึ่งแยกออกจากข้อเจรจาภาษีสหรัฐ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการตกลงราคาซื้อขายไว้เรียบร้อยตั้งแต่ปลายปี 2566 โดยเป็นเครื่องบินแบบโบอิ้ง 45 ลำ และในระยะถัดไป จะมีการจัดหาอีก 35 ลำ ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องบินแบบโบอิ้ง แต่ในปีนี้ยังไม่สามารถรับมอบเครื่องบินได้เนื่องจากผลิตไม่ทัน คาดว่าจะได้รับในต้นปี 2571
ส่วนเงื่อนไขการเจรจาภาษีสหรัฐที่ทีมไทยแลนด์ให้รายละเอียดไว้ว่าจะมีการซื้อเครื่องบินจากสหรัฐเพิ่ม 80 – 90 ลำนั้น การบินไทยได้ซื้อเครื่องบินไปแล้ว 45 ลำ ส่วนอีก 35 ลำ เป็น Options ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของการบินไทยว่าจะตัดสินใจเลือกจำนวนเท่าใด และเป็นเครื่องบินแบบไหน
"ยืนยันว่าไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง รวมถึงยังไม่มีข้อเสนอให้ซื้อเครื่องบินใหม่เพิ่มเติม"
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจมากที่ได้กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ถือเป็นแสงสะท้อนที่ออกมาจากสังคม ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน ซึ่งราคากว่า 10 บาทถือว่าเกินคาดหมาย
แต่เชื่อว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบเคียง Benchmark หรืออุตสาหกรรมเดียวกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผลประกอบการบริษัทไม่ด้อยกว่าบริษัทอื่นหรืออาจจะดีกว่า
อีกทั้งตลาดหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือ 1,200 จุดจากก่อนหน้านี้ลดลงไปที่ระดับ 1,000 จุด จึงเป็นปัจจัยหนุนของหุ้น THAI ที่เข้ามาซื้อขายในจังหวะที่เหมาสม รวมถึงเป็นหุ้นอีกตัวที่น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor)
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วง 4 เดือนที่เหลือของปี แม้ที่ผ่านมาอาจเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง แต่ตลาดหลักๆของการบินไทยมาจากทวีปยุโรป,ออสเตรเลีย และเส้นทางบินระหว่างประเทศในภูมิภาค รวมถึงเส้นทางบินไปประเทศจีนมีทั้งหมด 5 เมือง ซึ่งแต่ละเมืองมีแค่วันละ 1 ไฟล์ทบิน ซึ่งเป้าหมายผู้โดยสารหลักๆจะเป็นกลุ่มที่ทำธุรกิจและน้อยมากที่เป็นผู้โดยสารแบบนักท่องเที่ยว และรายได้มีสัดส่วนเพียง 5% ของรายได้รวม จึงทำให้ผลกระทบจากนักท่องเที่ยวชาวจีนกับบริษัทจึงมีค่อนข้างน้อย
นั่นหมายความว่า ผลประกอบการทั้งปีนี้น่าจะทำได้ตามเป้าหมาย หลังจากผลงานในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีนี้สามารถทำได้ตามเป้าอยู่แล้ว ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3-4 ยังไม่สามารถบอกได้ แต่พบว่ายอดจองเที่ยวบิน (Booking) ในช่วงครึ่งปีหลังใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนช่วงไฮซีซั่น ปกติการบินไทยมีกำไรมาตลอดในช่วง 10 ไตรมาสติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงโลซีซั่นหรือไฮซีซั่นจากช่วงก่อนหน้านี้ที่บริษัทไม่เคยมีกำไรเลยโดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2-3 มีปัญหามาโดยตลอด
สำหรับความคืบหน้าโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา(MRO)นั้น บริษัทได้รับจดหมายจากเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และบริษัทยินดีที่จะตอบรับหนังสือที่เชิญชวนให้บริษัทร่วมลงทุนแน่นอน ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างจะเริ่มภายในปี 70 เนื่องจากต้องมีกระบวนการออกแบบและจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท
ส่วนการร่วมลงทุน (JV) ในพื้นที่โครงการ MRO ร่วมกับ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ตอนนี้มีหลายโมเดลที่อยู่ระหว่างพูดคุย แต่อาจจะเป็นในรูปแบบร่วมกันใช้พื้นที่ เพราะพื้นที่ทั้งหมดมีประมาณ 220 ไร่ ซึ่งทาง BA อาจมีการใช้พื้นที่บางส่วนและมาร่วมใช้พื้นที่ร่วมกัน เนื่องจากในส่วนโครงสร้างพื้นฐานสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ในส่วนของรายได้นั้นจะมีแยกกันของใครของมัน โดยสัดส่วนการใช้พื้นที่ของ BA อยู่ที่ประมาณ 30 ไร่ และที่เหลือเป็นของการบินไทยทั้งหมด เพราะมีจำนวนเครื่องบินที่มากกว่า
ส่วนเรื่องภาษีนำเข้าเครื่องบิน โดยปกติเครื่องบินไม่โดนภาษีนำเข้าอยู่แล้วเพราะบริษัทได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI อีกทั้งไม่ว่าจะสั่งเครื่องบินเข้ามาจากประเทศไหนไม่โดนภาษีนำเข้า เบื้องต้นการบินไทยตัดสินใจสำหรับเครื่องบินแอร์บัส(Airbus)ลำตัวแคบจำนวน 32 ลำ ส่วนเครื่องบินโบอิง (Boeing) ลำแรกจะเริ่มเข้ามาในปี 2571 โดยตั้งเป้าสัดส่วนเครื่องบินโบอิงจะเป็น 60% และ 40% เป็นเครื่องบินแอร์บัส ภายในปี 76 จากจำนวนฝูงบินทั้งหมด 150 ลำ
"หากขยายจำนวนฝูงบินครบตามแผนจำนวน 150 ลำคาดว่าจะสร้างรายได้ปี 2033 แตะระดับ 4 แสนล้านบาท รวมถึงวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)สนามบินสุวรรณภูมิเป็น 35% จากปัจจุบันแตะที่ระดับ 26%"
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ THAI กล่าวเช่นกันว่า รู้สึกยินดีอย่างมากที่การบินไทยสามารถกลับมาได้ หากถามว่าจากนี้จะสามารถจ่ายปันผลได้หรือไม่นั้น อาจต้องดูเงื่อนไขแผนฟื้นฟูก่อนว่าจะต้องชำระหนี้ก่อนหรือไม่ ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ แต่มองว่าอาจจะทำได้ยาก
"อนาคตการบินไทยถ้าดูตอนนี้ถือว่าสดใส แนวโน้มผลประกอบการถือว่าดี เพียงแต่จำนวนผู้โดยสารฝูงบินปีนี้อาจไม่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ด้วยปัญหาการเร่งซ่อมบำรุงเครื่องบิน ปรับปรุงที่นั่ง ฯลฯ แต่ปีหน้าฝูงบินจะเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น"
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยอมรับว่ารู้สึกดีใจที่ได้การบินไทยกลับเข้ามาเทรดอีกครั้ง ขอชื่นชมการบินไทยที่สามารถกลับเข้ามาได้อีกครั้ง ถือเป็นตัวอย่างที่ดี


