SCGD กำไร Q2/68 ทำได้ 222 ล้านบาท ครึ่งปีหลังสดใสรับเวียดนามฟื้น
SCGD รายได้ลด-แปลงสกุลเงินต่างประเทศ-ปรับโครงสร้างธุรกิจ กดกำไรไตรมาส 2/2568 แตะ 222 ล้านบาท จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.15 บาท ขึ้น XD 8 ส.ค.นี้ คาดครึ่งปีหลังสดใส
KEY
POINTS
- SCGD รายได้ลด-แปลงสกุลเงินต่างประเทศ-ปรับโครงสร้างธุรกิจ กดกำไรไตรมาส 2/2568 แตะ 222 ล้านบาท
- จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.15 บาท ขึ้น XD 8 ส.ค.นี้
- คาดครึ่งปีหลังสดใส
บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิ 222.56 ล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 283.90 ล้านบาท มีรายได้ 5,770 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ผลจากปริมาณขายวัสดุตกแต่งพื้นผิวเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน จาก 31 ล้านตารางเมตร เป็น 31.7 ล้านตารางเมตร จากปริมาณขายในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 10.5 ล้านตารางเมตร เป็น 12.7 ล้านตารางเมตร ตามเศรษฐกจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัว
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น และ EBITDA on sales สูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส อยู่ที่ 28.3% และ 15.2% โดยบริษัทได้รับผลกระทบจากการแปลงสกุลต่างประเทศที่มีธุรกิจอยู่ (ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย) เป็นเงินบาท ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ (Non-Recurring) และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งสะท้อนถึงผลประกอบการที่แท้จริงในธุรกิจประเทศนั้นๆ กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นและ EBITDA เพิ่มขึ้น 6% และ 2% ตามลำดับ
ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 439.22 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 541.27 ล้านบาท โดยมีรายได้อยู่ที่ 11,730 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้สินรวม 18,806 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 13,763 ล้านบาท ขณะที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 19,981 ล้านบาท คิดเป็น อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ 1.4 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า
คณะกรรมการอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2568 จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 13 สิงหาคม 2568 กำหนดจ่ายปันผล วันที่ 27 สิงหาคม 2568 กำหนด XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568
แนวโน้มครึ่งปีหลังมองสดใส โดยเฉพาะตลาดเวียดนามที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยโรงงานในประเทศเวียดนามมีความพร้อมด้านต้นทุนที่แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ ส่งเสริมการเป็นฐานส่งออกสำคัญของบริษัท ส่วนประเทศอินโดนีเซีย ความต้องการสินค้าจากตลาดในประเทศสูงขึ้น รวมถึงภาครัฐมีการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ได้บรรลุข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯแล้ว
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 และ 6 ธันวาคม 2566 ทั้ง KIA และบริษัทลูก PT KIA Keramik Mas(KKM) ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซียต่อศาลปกครองชั้นต้น เพื่อให้ยกเลิกการเรียกร้องที่อ้างว่า KIA มีหนี้เงินต่อหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซีย และให้ยกเลิกการระงับการเข้าระบบจดแจ้งทางทะเบียนกับ Ministry of Law and Human Rights ของ KIA และ KKM ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2567 ศำลปกครองชั้นต้นได้มีคำพิพากษายกฟ้อง และ KIA และ KKM ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูง(ศาลอุทธรณ์)แล้วนั้น
ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2567 ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยืนยันตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง ดังนั้น KIA และ KKM จึงได้ดำเนินการโต้แย้งต่อศาลฎีกา (Cassation) เพื่อขอให้ทบทวนคำพิพากษาข้างต้นต่อไป ปัจจุบัน คดียังอยู่ระหว่างการกระบวนการของกฎหมาย


