posttoday

เทียบฟอร์ม 4 ยักษ์ใหญ่เจ้าสัวซีพี 'CPF-CPALL-CPAXT-TRUE' งบ Q2/68 ใครเด่นสุด ?

21 กรกฎาคม 2568

ผ่างบไตรมาส 2/68 ยักษ์ใหญ่อาณาจักรซีพี โบรกคาด CPF โชว์กำไรพุ่งแรงจากราคาสุกร-ต้นทุนลด CPALL ร้านค้าเซเว่นโตดีแต่ค้าปลีกค้าส่งฉุด CPAXT ฤดูฝนกดยอดขายแต่รักษาฐานกำไรได้ TRUE บริการหนุน

KEY

POINTS

  • ผ่างบไตรมาส 2/68 ยักษ์ใหญ่อาณาจักรซีพี โบรกคาด CPF โชว์กำไรพุ่งแรงจากราคาสุกร-ต้นทุนลด
  • CPALL ร้านค้าเซเว่นโตดีแต่ค้าปลีกค้าส่งฉุด
  • CPAXT ฤดูฝนกดยอดขายแต่รักษาฐานกำไรได้ TRUE บริการหนุน

เข้าสู่ช่วงประกาศงบไตรมาส 2/2568 เป็นที่น่าจับตา 4 หุ้นพี่บิ๊กของกลุ่มธุรกิจภายใต้ร่มเงา "เครือเจริญโภคภัณฑ์" สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจการบริโภค และค้าปลีกของไทยในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมประเมินเป้าการเติบโตต่อเนื่องตลอดปีได้หรือไม่อย่างไร

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF" ปิดการซื้อขายในช่วงเช้าวันนี้(21 ก.ค.68)อยู่ที่ 22.80 บาท ลดลง 0.30 บาท คิดเป็น -1.30% มูลค่าการซื้อขาย 322.25 ล้านบาท

หุ้น "บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL" ปิดที่ 47.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท คิดเป็น +0.53% มูลค่าการซื้อขาย 846.47 ล้านบาท

หุ้น "บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT" ปิดที่ 20.20 บาท ลดลง 0.10 บาท คิดเป็น -0.49% มูลค่าการซื้อขาย 53 ล้านบาท

หุ้น "บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE" ปิดที่ 10.80 บาท ลดลง 0.30 บาท คิดเป็น -2.70% มูลค่าการซื้อขาย 404.23 ล้านบาท

เทียบฟอร์ม 4 ยักษ์ใหญ่เจ้าสัวซีพี 'CPF-CPALL-CPAXT-TRUE' งบ Q2/68 ใครเด่นสุด ?

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า "บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF" ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่จำแนกธุรกิจหลักตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์

2) ธุรกิจเลี้ยงสัตว์-แปรรูป (Farm-Processing) ได้แก่ การเพาะพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า และการแปรรูปเนื้อสัตว์ขั้นพื้นฐาน 3) ธุรกิจอาหาร (Food) ได้แก่ การผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปกึ่งปรุงสุกและปรุงสุก และการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปหรืออาหารพร้อมรับประทาน รวมถึงกิจการค้าปลีกอาหารและร้านอาหาร

CPF งวดไตรมาส 2/68 คาดกำไรปกติ 9.94 พันล้านบาท เติบโต 16% จากไตรมาสก่อนหน้า(QoQ) และ 44% จากปีก่อน(YoY) มีปัจจัยหนุนจากราคาเนื้อสัตว์สูงขึ้นโดยเฉพาะสุกรในไทยและต่างประเทศ และต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงตามราคาวัตถุดิบ ตลอดจนรับรู้กำไรส่วนเพิ่มจากการเข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 23.8% ในบริษัท CPP ที่มีรายได้หลักมาจากเวียดนาม รวมเป็น 100% เมื่อ 21 เม.ย.2568 

ราคาสัตว์บกในไทยดีขึ้น นำโดยราคาสุกรในประเทศไตรมาส 2/68 เฉลี่ยอยู่ที่ 88.3 บาท/กก. สูงสุดในรอบ 2 ปี เพิ่มขึ้น 11% qoq และ 31% yoy ขณะที่ราคาไก่เนื้อในประเทศไตรมาส 2/68 ใกล้เคียงงวดก่อนที่40 บาท/กก. โดยราคาสุกรและไก่เนื้อดังกล่าว ยังสูงกว่าจุดคุ้มทุนของต้นทุนการเลี้ยงที่ระดับ 60-65 บาท/กก. และ 37 บาท/กก. ตามลำดับ

ราคาสุกรต่างประเทศสูงขึ้น โดยเวียดนามเพิ่มขึ้น 3% qoq และ 7% yoy เฉลี่ยที่ 67,500 ดอง/กก.(สูงกว่าต้นทุนการเลี้ยงที่ 43,000 ดอง/กก.) จากอุปทานตึงตัวหลังการระบาดของโรค ASF ในปลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับในฟิลิปปินส์ 228.3 เปโซ/กก. (+4% qoq, +12% yoy) และกัมพูชา เฉลี่ย 1.14 หมื่นเรียล/กก. (+14% qoq,+20%yoy) สวนทางราคาสุกรในจีนที่มีปัญหาอุปสงค์อ่อนตัวทำให้ราคาลดลง 8% qoq และ 9% yoy อยู่ที่ 14.7 หยวน/กก. อยู่ในระดับใกล้เคียงต้นทุนการเลี้ยงบริเวณ 14.5-15 หยวน/กก.

ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง โดยในไทยราคากากถั่วเหลืองคงปรับตัวลงต่อเนื่อง 4% qoq และ 24% yoy อยู่ที่ 16.4 บาท/กก. ส่วนข้าวโพดทรงตัวบริเวณ 11 บาท/กก.ขณะที่ฝั่งเวียดนามราคากากถั่วเหลืองและข้าวโพดอยู่ที่ 9,811 ดอง/กก. (-5% qoq,-23% yoy) และ 6,533 ดอง/กก. (-6% qoq,+2% yoy)จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

ภาพ CPF

โดยรวมประเมินยอดขายไตรมาส 2/68 เท่ากับ 1.53 แสนล้านบาท (+6% qoq, +3% yoy) และ Gross Margin สูงขึ้นเป็น 19% เทียบกับ 18.5% งวดก่อน และ 15.4% งวดปีก่อน ตามราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้น และต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ลดลงผลจากการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์และการปรับลงของราคาวัตถุดิบ

นอกจากนี้การทำกำไรยังมีแรงหนุนจากรับรู้กำไรส่วนเพิ่มหลังเข้าลงทุนสัดส่วน 23.8% ในบริษัท CPP รวมเป็น 100% โดยทั้งหมดชดเชยกับส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมคาด 3.11 ล้านบาท ลดลง 10% qoq จากการดำเนินงานที่อ่อนตัวตามฤดูกาลของ CPALL และ CPAXT รวมถึงบริษัท CTI ในจีนตามราคาสุกรอ่อนตัว และ 7% yoy จาก CPI เป็นหลัก ขณะที่ CPALL และ CPAXT ยังเติบโต

จากทิศทางกำไรปกติในงวดครึ่งแรกปี68 ที่แข็งแรงกว่าคาด และสูงกว่าประมาณการทั้งปี ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับกำไรปกติปี 2568 เพิ่มเป็น 3.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 68% จากปีก่อนที่ 1.86 หมื่นล้านบาท สำหรับงวดครึ่งหลังปี68 คาดกำไรมีโอกาสอ่อนตัวลงจากงวดครึ่งปีแรกที่คาดไว้ 1.85 หมื่นล้านบาท จากราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มย่อตัว หลังปริมาณ Supply เริ่มเข้ามามากขึ้น

ประกอบกับช่วงนี้เป็นหน้าฝน และ Low Season ท่องเที่ยว นอกจากส่งผลให้ความต้องการลดลงแล้ว เกษตรกรบางส่วนมีการเร่งขายสุกรออกจากฟาร์ม เนื่องจากกังวลต่อสภาพอากาศ และหลีกเลี่ยงโรคระบาด ส่งผลให้ราคาสุกรปรับตัวลง สะท้อนจากราคาสุกรในไทยล่าสุดอยู่ที่ 78 บาท เทียบกับเฉลี่ย 88 บาทงวดก่อน (แต่ยังสูงกว่าเฉลี่ย 71 บาท/กก. ในไตรมาส 3/67) เช่นเดียวกับราคาสุกรในเวียดนามปัจจุบันอยู่ที่ 66,000 ดอง/กก. จากงวดก่อนเฉลี่ย 67,500 ดอง/กก. (เพิ่มจาก 61,700 ดอง/กก. ในไตรมาส 3/67) 

มุมมองบริษัทประเมินแม้ราคาเนื้อสัตว์จะปรับตัวลงบ้าง แต่ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมีนัยฯ เนื่องจากคงคาดการณ์ผลผลิตสุกรในไทยทั้งปี 68 ที่ระดับ 19.5 ล้านตัวต่ำกว่าปีก่อนที่ 20 ล้านตัว ทำให้ราคาเนื้อสัตว์โดยรวมปีนี้ยังสูงกว่าปีก่อน (ราคาสุกรไทยปี 2567 เฉลี่ยที่ 70 บาท/กก. , ครึ่งปีแรก เฉลี่ย 83 บาท/กก. และคาดทั้งปี68 ไม่ต่ำกว่า 80 บาท/กก.) นอกจากนี้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงจากปีก่อน โดยเฉพาะกากถั่วเหลือง และการเพิ่มประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ คาดหนุนกำไรช่วงครึ่งปีหลังยังเติบโต YoY

ภายใต้ประมาณการใหม่ อิง PBV 1 เท่า มูลค่าพื้นฐานปี 2568 อยู่ที่ 31 บาท เดิม 30 บาท คงแนะนำ Outperform จากแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/68 แข็งแกร่งสุดในกลุ่มฯ พร้อมคาดปันผลครึ่งปีแรกหุ้นละ 0.85 บาท (อิง Div Payout 40%) หรือราว 4% ขณะที่ผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐถือว่าน้อยมาก เนื่องจากมีการส่งออกโดยตรงจากไทยไปสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3% ของยอดขายรวม (เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกุ้ง และเกี๊ยวกุ้ง) และฐานการผลิตในประเทศอื่น แทบไม่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เช่นกัน

ภาพ CPF

ทั้งนี้คงต้องติดตามประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ เพื่อแลกกับการลดกำแพงภาษีที่สหรัฐตั้งไว้ในอัตรา 36% ซึ่งจากกระแสข่าวมีการพูดถึงไทยเตรียมยื่นข้อเสนอการเปิดตลาด ผ่านการลดภาษีนำเข้าให้สหรัฐในกลุ่มสินค้าเกษตรบางรายการ เช่น หมู (เนื้อหมู/เครื่องใน), ข้าวโพด และกากถั่วเหลือง ฯลฯ โดยมุมมองฝ่ายวิจัยมองว่าหากเปิดให้นำเข้าหมู/เครื่องในหมู จากสหรัฐ ย่อมสร้างผลกระทบเชิงลบต่อเกษตรกรเลี้ยงหมูไทย 

แต่ในทางปฏิบัติอาจทำได้ยาก เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร และการใช้สารเร่งเนื้อแดงที่ปกติใช้ในสหรัฐ แต่ไทยมีกฎหมายและมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในหมูโดยเด็ดขาด ขณะที่การเปิดตลาดนำเข้าข้าวโพด และกากถั่วเหลือง มองเป็นบวกต่อกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ เนื่องจากปัจจุบันไทยไม่สามารถผลิตข้าวโพด และกากถั่วเหลือง ได้เพียงพอกับความต้องการอยู่แล้ว และมีการนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้าน (เช่น พม่า)

ส่วนกากถั่วเหลือง โดยหลักนำเข้าจากบราซิล เนื่องจากมีโปรตีนถั่วเหลืองสูงกว่า ดังนั้นหากสามารถนำเข้าข้าวโพดสหรัฐ ซึ่งข้อมูลจากผู้ประกอบการประเมินว่าราคาข้าวโพดที่นำเข้าจากสหรัฐ (รวมภาษีและค่าขนส่ง) น่าจะต่ำกว่าไทยอยู่ที่ราว 1 บาท/กก. และหากลด/ยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองที่ไทยเรียกเก็บ 2% อาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยมีโอกาสเปลี่ยนไปซื้อกากถั่วเหลือจากสหรัฐ น่าจะเอื้อประโยชน์ต่อต้นทุนการเลี้ยงมีโอกาสถูกลง โดยผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาเป็นสำคัญ

CPALL กำไรชะลอ QoQ แต่ยังโต YoY

"บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL" ฝ่ายวิจัยประเมินว่า CPALL จะมีกำไรปกติงวดไตรมาส 2/68 ที่ 6.8 พันล้านบาท (-10% QoQ, +9% YoY) โดยกำไรที่คาดจะลดลง QoQ แม้คาดว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (7- Eleven)จะยังมีการเติบโต แต่จะถูกฉุดจากธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก(CPAXT)ซึ่งคาดจะมียอดขายลดลง จากผลของฤดูกาล และกำลังซื้อที่อ่อนแอลงแต่หากเทียบ YoY แล้ว คาดกำไรยังโตดี

สาเหตุหลักดังนี้ 1) คาดรายได้การขายและบริการจะยังเพิ่มขึ้นเป็น 2.47 แสนล้านบาท (+3% YoY) เพราะคาดมียอดขายที่ดีขึ้นทั้งจาก 7-Eleven และกลุ่ม CPAXT (MAKRO และ Lotus’s) ซึ่งหนุนโดยยอดขายจากสาขาใหม่ของ 7-Eleven ที่คาดจะเปิดตามเป้าหมายมีสาขาใหม่ 700 แห่ง/ปี (175 แห่ง/ไตรมาส) บวกกับการเปิดสาขาใหม่ของ MAKRO และ Lotus’s ราว 3 แห่ง และ 12 แห่งตามลำดับ ขณะที่การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth) ของทุกธุรกิจน่าจะถูกกดดันจากกำลังซื้อที่อ่อนแอลง โดยคาดทุกธุรกิจจะมี SSSG ที่ชะลอลงเล็กน้อย 

2) คาดอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) โดยรวมจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 22.4% ในงวดไตรมาส 2/67 เป็น 22.9% จากการที่ทุกธุรกิจมีมาร์จิ้นสูงขึ้น โดย 7-Eleven มีมาร์จิ้นดีขึ้น ตามสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของการขายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทาน (Ready To Eat-RTE), เช่น แซนวิช สลัด ผลไม้และขนม ซึ่งสร้างมาร์จิ้นสูง ส่วนกลุ่ม CPAXT ก็มีมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นเช่นกันจาก โดยเฉพาะ MAKRO ที่มีมาร์จิ้นดีขึ้น ซึ่งพอจะชดเชยมาร์จิ้นของ Lotus’s ที่ชะลอลง

ภาพ CPALL

กำไรไตรมาส 3/68 ของ CPALL คาดยังโต YoY ได้ แต่จะยังชะลอลง QoQ เพราะผลของฤดูกาล ที่ไทยเข้าสู่ฤดูฝนเต็มไตรมาส เป็นอุปสรรคต่อการออกไปจับจ่ายสินค้านอกบ้าน อีกทั้งกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะอ่อนแอกว่าที่เคยคาด จากหลายปัจจัยภายนอกรุมเร้า ซึ่งจะกดดันการเติบโตของยอดขาย QoQ ขณะที่เนื่องจากคาดหวังการเติบโตของกำไรได้ในไตรมาส 4/68 ที่เป็นช่วง High season ของธุรกิจ และฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งจะหนุนยอดขายให้ดีขึ้นได้ทั้ง QoQ และ YoY โดยสินค้าที่ขายดี คาดจะเป็นประเภทสินค้าประเภท RTE รวมทั้งของใช้ส่วนตัวขนาดเล็ก

กำไรปกติงวดครึ่งปีแรกน่าจะมีสัดส่วนราว 53% ของคาดการณ์ทั้งปี อีกทั้งกำไรในไตรมาส 3/68 ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อ QoQ แต่คาดหวังกำไรที่โดดเด่นซึ่งมักจะอยู่ใน 4 ไตรมาสของทุกปีทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2568 ไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท (+19% YoY) แต่ได้ปรับลดการอิง PER 26.2 เท่า, -1.0 S.D เหลือ 22.0 เท่า, -1.5 S.D เพื่อสะท้อนความเสี่ยงจากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ที่อาจอ่อนแอกว่าคาดการณ์เดิม และสอดคล้องกับการปรับลด PER ของบริษัทลูกอย่าง CPAXT

ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ปรับลดจาก 79.00 บาท เหลือ 66.50 บาท แต่คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะคาดกำไรปกติงวดไตรมาส 2/68 จะออกมาโตแกร่งสุดในกลุ่ม และราคาหุ้นยังไม่แพงเพราะถูกซื้อขายด้วย PER ปี 2568 ต่ำเพียง 15.1 เท่า หรือ -2.3 S.D จากค่าเฉลี่ย 3 ปีก่อน

CPAXT กำไรโค้ง 2/68 โตแค่ปีก่อน

"บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT" ฝ่ายวิจัยคาดว่า CPAXT จะมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/68 ที่ 2.3 พันล้านบาท กำไรที่ชะลอลง QoQ เพราะคาดรายได้ขายและบริการจะลดลงเหลือ 1.28 แสนล้านบาท (-1% QoQ) จากผลของฤดูกาล ซึ่งในงวดไตรมาส 2/68 เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน เป็นอุปสรรคต่อการออกไปจับจ่าย ประกอบกับไม่มีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐอย่างในไตรมาสก่อน บวกกับยอดขายธุรกิจค้าส่ง (Makro) จากตัวแทนจำหน่ายในภาคอีสานลดลง อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมมีแนวโน้มจะลดลงเล็กน้อยจาก 16.3% ในไตรมาส 1/68 เหลือ 16.2% 

ส่วนกำไรที่โตได้YoY เป็นเพราะคาดรายได้ขายและบริการสูงขึ้น 1% YoY เป็นผลจากการขยายสาขาใหม่เพิ่มของ Makro จำนวน 3 แห่ง และธุรกิจค้าปลีก (Lotus’s) จำนวน 12 แห่ง ขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิม (Same Store Sales-SSS) ยังทรงตัว YoY ทั้ง 2 ธุรกิจ เนื่องจากในปีนี้เข้าสู่ฤดูฝนเร็ว ส่งผลให้อากาศร้อนน้อยกว่าปีก่อน จึงกดดันยอดขายสินค้าประเภทเครื่องดื่ม และเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภททำความเย็น อย่าง แอร์, พัดลม ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราว 10% ของยอดขาย ขณะที่สินค้าที่ขายดี ยังเป็นสินค้าอาหารพร้อมทาน (Ready To Eat-RTE) และอาหารพร้อมปรุง (Ready To Cook-RTC)

ประกอบกับมาร์จิ้นโดยรวมสูงขึ้นจาก 16.1% ในงวดไตรมาส 2/67 เป็น 16.2% หนุนโดยอัตรามาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นของ Makro และการให้เช่าพื้นที่ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำลง บวกดอกเบี้ยจ่ายที่คาดจะลดลงราว 4% YoY จากการทยอยชำระคืนหนี้ไปบางส่วน และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง

ภาพ CPAXT

ฝ่ายวิจัยมองว่ากำไรในไตรมาส 3/68 ของ CPAXT จะยังตกต่ำลง QoQ เพราะเป็น low season ของทั้ง MAKRO และ Lotus’s เนื่องจากเป็นฤดูฝนเต็มตัว ซึ่งคาดจะกดดันยอดขายต่อไปอีก แต่ยังคาดหวังการฟื้นตัวของกำไรได้ในไตรมาส 4/68 ที่เป็นช่วง high season ของทั้ง MAKRO และ Lotus’s เพราะปลายปีเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี ซึ่งผู้บริโภคมักมีการจับจ่ายสูงกว่าช่วงอื่นๆ ประกอบกับเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งเสริมกำลังซื้อในแหล่งท่องเที่ยวและยอดขายของสาขาในพื้นที่ดังกล่าว

ระยะสั้นยังขาดปัจจัยบวกผลักดันราคาหุ้น คงคำแนะนำ “Neutral” คาดว่ากำไรช่วงครึ่งปีแรกจะมีสัดส่วนราว 44% ของคาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2568 ของฝ่ายวิจัยที่ 1.1 หมื่นล้านบาท (+8% YoY) แต่ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรของ CPAXT ไว้ตามเดิม เพราะยังเชี่อว่ากำไรจะฟื้นตัวได้แรงในไตรมาส 4/68 ที่เป็น high season ของธุรกิจ

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยได้ปรับลดการอิง PER จากเดิม ที่อิง PER 27.1 เท่า, -0.5 S.D เหลือ 19.9 เท่า, -1.0 S.D เพื่อสะท้อนความเสี่ยงจากที่เพิ่มขึ้น หลังเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี อาจโตต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ ทำให้ราคาเป้าหมายสำหรับปี 2568 ปรับลงจาก 29.50 บาท เหลือ 21.70 บาท

TRUE กำไรโตต่อเนื่อง

"บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE" คาดจะมีกำไรในไตรมาส 2/68 ที่ 2,256 พันล้านบาท (+38 QoQ , na YoY) พลิกจากงวดไตรมาส 2/67 ที่ขาดทุนสุทธิอยู่ 1.9 พันล้าน จากค่าใช้จ่ายพิเศษน้อยลง (การตัดจำหน่ายสินทรัพย์โครงข่ายที่ซ้ำซ้อนกับ DTAC โดยคาดในงวดไตรมาส 2/68 จะมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ราว 2 พันล้านบาท ซึ่งจะต่ำกว่าในไตรมาสก่อนหน้าและงวด 2/67 ที่ตัดจำหน่ายไปสุทธิราว 2.6 พันล้านบาท และ 4.3 พันล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะหมดไปในเดือน ก.ค.68- ส.ค.68)

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3/68 น่าจะโตได้ทั้ง QoQ และ YoY เพราะในช่วงปลายไตรมาส 3/68 น่าจะได้ผลประโยชน์จากการเปิดตัวของ ไอโฟน 17 บวกกับคาดว่าในไตรมาส 3/68 รายการพิเศษ (ค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายสินทรัพย์โครงข่ายที่ซ้ำซ้อนกับ DTAC) จะน้อยลงอีก

ส่วนไตรมาส 4/68 จะได้ประโยชน์จากผลบวกของฤดูกาลที่จะผลักดันรายได้ทั้งรายได้ค่าบริการ และยอดขายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือที่จะเพิ่มขึ้น เพราะเป็นไตรมาสแรกที่จะได้ประโยชน์จากไอโฟน 17 อย่างเต็มไตรมาส นอกจากนี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์โครงข่ายอีก หลังเสร็จสิ้นไปแล้วในช่วงต้นไตรมาส 3/68

หากกำไรปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ในงวดไตรมาส 2/68 ออกมาอย่างที่คาดจะทำให้ประมาณการกำไรปกติในงวดครึ่งแรกของปี68 มีสัดส่วนราว 51% จากคาดการณ์ของฝ่ายวิจัยที่ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยเชื่อว่าประมาณการมี upside เพียงเล็กน้อย ฝ่ายวิจัยจึงยังคงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายปี 2568 สำหรับ TRUE ไว้ตามเดิมที่ 15.20 บาท (DCF, WACC 8.3%)

คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 2/68 ที่คาดจะดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ยังดูสดใสขึ้นต่ออีกในงวดครึ่งหลังปี68 จากค่าใช้จ่ายที่ยังลดลงได้ต่ออีก โดยจะได้รับประโยชน์เต็มที่หลังจากลดการตัดจำหน่ายใช้สินทรัพย์โครงข่ายที่ซ้ำซ้อนกันกับดีแทคลงในช่วงต้นไตรมาส 3/68

ภาพ ASPS

ข่าวล่าสุด

เปิดแฟ้มครม.9 ธ.ค.68 ลุ้นคนละครึ่งพลัส2 เคลียร์โครงการงบค้างท่อ