SET Reboot! รีเซ็ตความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ภารกิจใหญ่ "อัสสเดช คงสิริ"
เปลี่ยนผ่านตลาดหุ้นไทย จากวิกฤติสู่โอกาสการลงทุน! นับถอยหลังครบรอบ 1 ปี "อัสสเดช คงสิริ" บนเก้าอี้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯกับภารกิจฟื้นความเชื่อมั่น สร้างนวัตกรรมใหม่ ดึงเงินทุนต่างชาติ พลิกโฉมตลาดทุนไทยในทุกมิติ
KEY
POINTS
- เปลี่ยนผ่านตลาดหุ้นไทย จากวิกฤติสู่โอกาสการลงทุน!
- นับถอยหลังครบรอบ 1 ปี "อัสสเดช คงสิริ" บนเก้าอี้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯกับภารกิจฟื้นความเชื่อมั่น สร้างนวัตกรรมใหม่
- ดึงเงินทุนต่างชาติ พลิกโฉมตลาดทุนไทยในทุกมิติ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเดินทางผ่านวิกฤตเศรษฐกิจและความผันผวนมากว่า 5 ทศวรรษ จากจุดเริ่มต้นในปี 2518 ที่มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 8 แห่ง จนปัจจุบันมีมากกว่า 800 บริษัท ระดมทุนรวมกว่า 6 ล้านล้านบาท ถือเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
แต่ทุกช่วงขาขึ้น-ขาลง ล้วนทิ้งร่องรอยเป็นบทเรียนสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดต้อง "ปรับตัว" อย่างไม่หยุดนิ่ง
วันนี้ ภายใต้การนำของ "อัสสเดช คงสิริ" ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ คนที่ 14 ซึ่งใกล้ครบวาระ 1 ปี ในวันที่ 19 กันยายน 2567 ตลาดทุนไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้ง!
จุดที่ไม่ใช่แค่การ "ประคองตัว" แต่ต้องเร่ง "สร้างโอกาสใหม่" เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น ดึงดูดนักลงทุน และวางรากฐานให้ตลาดทุนไทยก้าวสู่อนาคตที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับโลก
การเดินทางของตลาดหลักทรัพย์ฯนับจากนี้คือเรื่อง "ความเชื่อมั่น" ที่ต้องเร็ว แต่ความเชื่อมั่นมีหลายมุมมอง ทั้งความเชื่อมั่นในบริษัท ความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม ความเชื่อมั่นตลาดทุนโดยรวม หรือความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศ
ตลาดหลักทรัพย์ในฐานะที่เรียกว่า "หัวใจ หรืออวัยวะสำคัญของตลาดทุน" มีบทบาทหน้าที่ในการสร้างโอกาสให้แขนขามือไม้ของตลาดทุน สมองของตลาดทุนกลับมาร่วมมือกันสร้างความเชื่อมั่นได้
ซึ่งโครงการ "จัมพ์พลัส (JUMP+)" เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อมั่นคือถ้าบริษัทจดทะเบียนโดยรวมมีความน่าสนใจมากขึ้น มีการเติบโตชัดเจนขึ้น นักลงทุนต่างประเทศที่เคยไปพูดคุยตลอดเวลาจะกลับมาสนใจเรา ตอนนี้ต่างชาติอยากจะสนใจประเทศไทยมากแต่เราต้องมีหลักฐานให้เขาสนใจก่อน
ส่วนตัวมองว่า S-Curve อาจจะมองระยะกลางถึงระยะยาวต้องใช้เวลา ในวันนี้ต้องยอมรับว่าในเชิงบริษัทสตาร์ทอัพ บริษัทที่เป็น New Economy ของประเทศไทยยังค่อนข้างเล็ก ตลท.ต้องเสริมสร้างในระยะกลางถึงยาว แต่ในระยะสั้นสิ่งที่ ตลท. มีอยู่ทําอย่างไรให้กลับมาเติบโตมั่งคั่งเหมือนเดิม ฉะนั้นต้องดูหลายมิติ
แนวทางการฟื้นความเชื่อมั่นในตอนนี้ถือว่าบริษัทจดทะเบียนที่นอกแถวเริ่มน้อยลง ตลท.ร่วมงานกับสํานักงาน ก.ล.ต. ค่อนข้างมากในการสร้างระบบที่จะดําเนินการในคดีต่างๆให้เร็วขึ้น
"เราทำงานกันอย่างจริงจังถือเป็นเรื่องที่ดี ผมหวังว่าจะสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่คิดจะทําไม่ดีได้"
ส่วนงานในทางต้นน้ำของ ตลท. คือต้องส่งข้อมูลให้ ก.ล.ต. อย่างรวดเร็ว การเตือนนักลงทุนได้ทันท่วงที การขอให้บริษัทต่างๆถ้ามีการปฎิบัติที่น่าสงสัยต้องเปิดเผยข้อมูลให้เร็วขึ้น
"วันนี้ต้องยอมรับว่างบการเงินของบริษัทจดทะเบียนประกาศออกมาพร้อมกันที่เราตรวจหมายเหตุของ 800 กว่าบริษัทในงบการเงิน ถ้าไม่มีเทคโนโลยีช่วยคงต้องใช้เวลาเป็นปี ดังนั้นการนําเทคโนโลยีมาช่วยตรวจสอบช่วยให้เร็วขึ้น"
ความคืบหน้าการดึงต่างชาติลงทุนไทย ?
ตอนนี้กําลังร่วมมือหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะ ก.ล.ต. ผู้รักษากฎเกณฑ์ในการนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สําคัญตรงที่ไทยต้องทําอย่างไรให้บริษัทต่างประเทศจดทะเบียนในบ้านเราได้ง่ายขึ้น
รวมถึงอยู่ระหว่างพูดคุยกับทางสํานักงานบีโอไอว่าบริษัทที่จะมาลงทุนมีธุรกิจไหนที่อาจจะน่าสนใจ พร้อมที่จะมาระดมทุนในประเทศไทย เราจะแก้กฎเกณฑ์ให้ดูแลให้มันเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นได้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่โครงการที่ผ่านบีโอไอจะเป็นโครงการใหม่ ส่วนใหญ่ในจีนหรือยุโรปจะมีธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สามารถเข้าตลาดทุนผ่านตลาดได้หรือไม่
มาตรการ Capped Weight ลดความผันผวนดัชนีหุ้นแค่ไหน ?
ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ศึกษา Capped Weight จากเดิมใช้ free float แต่วันนี้ใช้เกณฑ์ Capped Weight จำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวที่ 10% ในดัชนี SET50-SET100 ให้นักลงทุนสถาบันใช้เป็น benchmark ที่อาจจะคิดว่าเหมาะสมมากขึ้น
หัวใจสําคัญของเรื่องนี้คือผลสําเร็จ ถ้านักลงทุนสถาบันเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์นี้ ที่ยังไม่มีที่ไหนในโลกที่คํานวณ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีหุ้นตัวเดียวที่โดนเกณฑ์นี้ ถ้ามีหลายตัวที่โดนน่าจะเป็น good propert เพิ่ม
วิธีคิดแก้ปัญหาเรื่องสภาพคล่องหายไป ?
สภาพคล่องไม่ได้เป็นต้นทาง ตลท.ไม่สามารถบังคับให้นักลงทุนเข้าซื้อลงทุนได้ ดังนั้นการพยายามปลดล็อคสภาพคล่องได้ดี กลับมาที่เรื่องของ "ปัจจัยพื้นฐาน" ถ้าผลิตภัณฑ์ของเราน่าสนใจ มีโอกาสที่จะโตก้าวกระโดด "จัมพ์พลัส" ก้าวกระโดดในมูลค่าและรายได้ เชื่อว่าความสนใจจะกลับมา เม็ดเงินลงทุนจะกลับมา ตลาดจะคึกคักขึ้น
วันนี้ที่หุ้นขึ้น หุ้นลง เป็นเรื่องของดีมานด์ซัพพลายถ้าของที่น่าสนใจคนแย่งกันซื้อ แต่หากมีที่น่าสนใจกว่านักลงทุนก็อาจขายเพื่อไปซื้อที่อื่นแทน คือหุ้นลงขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานที่ต้องพยายามแก้ให้ดีขึ้น นี่ไม่ใช่ระยะสั้นแต่เป็นระยะยาว
"สิ่งที่อยากเห็นตลาดหลักทรัพย์ฯใน 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า คือการสร้างโอกาส สร้างทางเลือกให้นักลงทุนในประเทศอยากให้สูงขึ้น คือเราต้องศึกษาว่าการลงทุนในประเทศอื่นที่พัฒนาแล้วมีทางเลือกอะไรบ้าง แล้วเราควรจะนําผลิตภัณฑ์พวกนั้นมาพัฒนาในประเทศของเราหรือไม่ ไม่ว่าพื้นฐานจะเป็นหุ้นธุรกิจไทย หรือจะเป็นหุ้นต่างประเทศ ฉะนั้น DR เป็นอะไรที่ผมไม่ได้เป็นคนริเริ่ม แต่ตลาดทําหน้าที่ได้ถูกต้องในการสร้างโอกาส และยังต้องหาผลิตภัณฑ์ ต้องมีองค์ความรู้เพื่อที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างโอกาสในอนาคตต่อไป"


