posttoday

ภาษีทรัมป์ซัดหนัก! เช็คลิสต์ 6 กลุ่ม 15 หุ้นสะเทือน! ไทยเสี่ยงลงทุนหาย-รายใหญ่ย้ายฐาน

09 กรกฎาคม 2568

ทรัมป์ยืนยันเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า 1 ส.ค.นี้ ไทยเจอหนักสุด 36% กระทบเศรษฐกิจ-การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหดหาย รายใหญ่ย้ายฐาน "เอเชียพลัส" เปิดโผ 6 กลุ่มอุตสาหกรรม มากกว่า 15 หุ้นสะเทือน!

KEY

POINTS

  • ทรัมป์ยืนยันเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า 1 ส.ค.นี้ ไทยเจอหนักสุด 36%
  • กระทบเศรษฐกิจ-การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหดหาย รายใหญ่ย้ายฐาน
  • "เอเชียพลัส" เปิดโผ 6 กลุ่มอุตสาหกรรม มากกว่า 15 หุ้นสะเทือน! 

ท่ามกลางความตึงเครียดการค้าระหว่างประเทศ "ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะไม่มีการขยายเส้นตายการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568

โดย "ประเทศไทย" กลายเป็นเป้าหมายหลักด้วยอัตราภาษีสูงถึง 36% สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านถูกเรียกเก็บภาษีน้อยกว่า 

ญี่ปุ่น ภาษี 25%
เกาหลีใต้ ภาษี 25%
มาเลเซีย ภาษี 25%
เวียดนาม ภาษี 20%
 

นอกจากนี้ยังขู่ขึ้นภาษีทองแดงและยา เพิ่มเติม

  • ทรัมป์ประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าทองแดง 50% ภายในสิ้นเดือนก.ค.68 หรือวันที่ 1 ส.ค.68
  • ทรัมป์ให้เวลาบริษัทยาถึงปี 69 ในการย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯหากไม่ดำเนินการจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 200%

แม้ "ทรัมป์" ยังเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆเข้ามาเจรจาการค้า แต่ด้วยไทยโดนภาษี 36% ยิ่งตอกย้ำภาพการเสียเปรียบทางการค้า และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ "วิกฤติ FDI" ที่กระทบโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การที่สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทย 36% กดดันเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการลงทุน (I) ที่โดนกดดันจากยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีความเสี่ยงหายไปอย่างมีนัยฯ ซึ่งอาจเห็นการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีถูกกว่าแทน

แม้ข้อมูลในอดีตจะบ่งชี้ว่าช่วงปี 2024 ยอดขอรับการส่งเสริม FDI จะพุ่งสูง 8.3 แสนล้านบาท แต่เม็ดเงินลงทุนจริงคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากขอรับการส่งเสริมผ่านไปราว 1-2 ปี

หากยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หายไป มีอุตสาหกรรมใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ ?

เรียงตามเม็ดเงินต่างชาติขอรับ BOI จากมากไปน้อยดังนี้

  • เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 349 โครงการ เงินลงทุน 256,327 ล้านบาท
  • ดิจิทัล จำนวน 91 โครงการ เงินลงทุน 95,207 ล้านบาท
  • ยานยนต์และชิ้นส่วน จำนวน 235 โครงการ เงินลงทุน 87,757 ล้านบาท
  • ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ จำนวน 193 โครงการ เงินลงทุน 52,205 ล้านบาท
  • การเกษตรและแปรรูปอาหาร จำนวน 110 โครงการ เงินลงทุน 25,576 ล้านบาท
  • เทคโนโลยีชีวภาพ จำนวน 11 โครงการ เงินลงทุน 20,685 ล้านบาท
  • การท่องเที่ยว จำนวน 9 โครงการ เงินลงทุน 7,540 ล้านบาท
  • การแพทย์ จำนวน 31 โครงการ เงินลงทุน 7,408 ล้านบาท
  • ระบบอัตโนมัติและหุ้นยนต์ จำนวน 25 โครงการ เงินลงทุน 6,058 ล้านบาท
  • อากาศยาน จำนวน 10 โครงการ เงินลงทุน 2,156 ล้านบาท
  • ป้องกันประเทศ จำนวน 1 โครงการ เงินลงทุน 131 ล้านบาท

ดังนั้นจึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามหากสถานการณ์ยังครุมเครือและไม่มีทิศทางที่ดีขึ้นอาจเห็นสำนักเศรษฐกิจต่างๆทยอยปรับลดคาดการณ์ GDP GROWTH ของไทยให้ต่ำกว่า 1% เทียบกับปีก่อนในระยะถัดไปได้

กางโผ "บริษัท" นำเข้า-ส่งออกสหรัฐ ?

สายงานวิจัย รวบรวมกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆที่โดนผลกระทบทั้งในมุมส่งออก หรือ นำเข้ามากน้อยเพียงใด โดยมีรายละเอียดดังนี้คือ

กลุ่มเครื่องดื่ม

  1. COCOCO สัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 24% จากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศคู่แข่งในสินค้ากลุ่มกะทิและน้ำมะพร้าว มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าไทยจากการประกาศล่าสุด เช่น เวียดนาม 20% อินโดนีเซีย 32% ฟิลิปปินส์ 17% และมาเลเซีย 25% เป็นต้น โรงงานใหม่ในฟิลิปปินส์ที่มีกำหนดสร้างเสร็จต้นปี 69 น่าจะช่วยลดผลกระทบดังกล่าว และอาจกลับมาเป็นผลบวกต่อบริษัทได้ในระยะยาวจากการย้ายการผลิตสินค้ากลุ่มกะทิเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯไปยังโรงงานใหม่
  2. SAPPE สัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 5% โดยมองผลลบจากราคาสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อความต้องการสินค้า เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่บริษัทตั้งเป้าเข้าไปขยายตลาดในอนาคต

กลุ่มวัสุดก่อสร้าง

  1. SCC มีสัดส่วนรายได้ส่งออกสหรัฐ เท่ากับ 1% ของรายได้รวม ได้แก่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และสินค้ารักษ์โลก เช่นปูนคาร์บอนต่ำ ในอนาคต SCC มีแผนนำเข้า ETHANE จากสหรัฐเพื่อใช้เป็น FEEDSTOCK ให้กับโรงงาน LONG SON PETROCHEMICAL ในเวียดนามปีละ 1 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี
  2. SCGP มีสัดส่วนรายได้ไปสหรัฐ คิดเป็น 3% ของรายได้ทั้งหมด สินค้าส่งออกหลักคือ POLYMER PACKAGING และบรรจุภัณฑ์อาหาร ปัจจุบันมีภาษีนำเข้า 15-20% หากการขึ้นภาษีทำให้การนำเข้าของสหรัฐลดลง SCGP ก็สามารถ ALLOCATE สินค้าไปขายที่ตลาดอื่นๆได้ เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ของ SCGP เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มอาเซียนที่ยังมี DOMESTIC CONSUMPTION เติบโตดี ส่วนสินค้าที่ SCGP นำเข้าจากสหรัฐคือเศษกระดาษ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2-3% ของเศษกระดาษที่ใช้ทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 700-1000 ล้านบาทต่อปี โดยมีภาษีนำเข้า 0%
  3. SCGD มีสัดส่วนรายได้ไปสหรัฐน้อยกว่า 1% ของรายได้รวม

กลุ่มโรงพยาบาล

ส่วนใหญ่จะนำเข้ายาจากทางโซนยุโรป ทั้งนี้ยาที่นำเข้าจากสหรัฐฯนั้นจะคิดเป็นไม่เกิน 10% ของต้นทุน และซื้อผ่าน AGENCY อีกทีจึงไม่แน่ชัดว่าแต่ละ AGENCY โดนภาษีไปเท่าไหร่ เนื่องจากถูกรวมไว้แล้วในราคาขาย

ส่วนเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นำเข้าจาก US นั้น ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าอยู่แล้ว

กลุ่มโรงไฟฟ้า

คาดไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากไม่ได้มีสินค้าที่นำเข้า และส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามคาดได้รับผลกระทบทางอ้อม 2 กรณีดังนี้

  1. กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม เช่น BGRIM, GPCS, GULF เป็นต้น คาดจะได้รับผลเชิงลบจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่อาจปรับตัวลดลง
  2. ผู้ประกอบการที่มีโครงการโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ เช่น BPP, BCPG, EGCO เป็นต้น อาจได้รับ SENTIMENT เชิงบวกในระยะยาว จากคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น ตามการสนับสนุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และการใช้ไฟฟ้าภายในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น 

กลุ่มเกษตรอาหาร

  1. ITC มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐคิดเป็น 50-60% ของรายได้ และเดิมภาษีนำเข้าไทย-สหรัฐ สำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ 0% ย่อมได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยเป็น 36% ขณะที่ประเทศคู่แข่งในสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก ได้แก่ จีน คาดโดนภาษีสูงกว่าไทย ส่วน เวียดนาม ภาษี 20% ต่ำกว่าไทย อาจทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ แต่บริษัทเปิดเผยว่าสินค้าของไทยมีคุณภาพดีกว่าเวียดนาม และเวียดนามต้องใช้เวลาอย่างน้อย 12-18 เดือนถึงจะสามารถผลิตสินค้าให้เทียบกับไทย โดยบริษัทจะใช้จุดแข็งในเรื่องการบริหารจัดการ, ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และคุณภาพ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว
  2. TU มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐราว 40% โดยสัดส่วนราว 20% มาจากฐานการผลิตไทย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ AMBIENT อาหารทะเลกระป๋อง และอีก 20% จากแหล่งผลิตอื่น โดยบริษัทมีแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยง ผ่านการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่มีอยู่ทั่วโลก เช่น ขยายการผลิตในโรงงานที่กานาและเซเซลล์ ซึ่งเป็นประเทศที่โดนภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำสุด เพื่อส่งออกไปสหรัฐมากขึ้น หวังลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากประเด็น US TARIFF

กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

  1. DELTA มีการส่งออกไปสหรัฐในสัดส่วนราว 26% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2567 และลูกค้าสหรัฐที่อยู่ในจีน 11% ปัจจุบันเสียภายใต้ GMT ที่ 15%
  2. KCE มีการส่งออกไปสหรัฐในสัดส่วนราว 24% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2567 ปัจจุบันเสียภาษีประมาณ 11% เพราะการผลิตบางส่วนยังได้รับ BOI

อย่างไรก็ตามหากลูกค้าในสหรัฐที่นำเข้าสินค้าของทั้ง 2 บริษัท ต้องจ่ายภาษีนำเข้า 36% น่าจะได้รับผลกระทบต่อยอดขาย เพราะเป็นอัตราที่สูงกว่าที่ลูกค้าของทั้ง 2 บริษัทนี้เคยระบุว่าหากภาษีตอบโต้อยู่ระหว่าง 10-15% ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้

ที่มา ฝ่ายวิจัย ASPS

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025