การเมืองสั่นคลอน เสี่ยงเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค
ความไม่แน่นอนทางการเมือง กระทบการขยายตัวเศรษฐกิจไทย 0.2-0.4% เสี่ยงติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค แต่กระทบกำไรตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด
นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ประเมินความเป็นไปได้ของประเด็นทางการเมืองไทย ณ ปัจจุบัน นอกเหนือจากการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว มีเพิ่มอีก 2 กรณี คือ 1) ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ และ 2) เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง (รัฐประหาร) ซึ่งทั้ง 2 กรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนในปีงบประมาณ 2569 ที่อาจมีการชะลอการเบิกจ่ายเงินลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่รัฐบาลชุดเดิมได้วางเอาไว้
ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนภาครัฐมีสัดส่วนเฉลี่ยราว 20% ของการลงทุนทั้งหมด (ทั้งของภาครัฐและเอกชน) คิดเป็นสัดส่วนราว 4.7% ของ Nominal GDP โดยผลกระทบทางบวกของการลงทุนภาครัฐต่อการขยายตัวของ GDP หรือ public investment multiplier จะอยู่ราว 0.6 เท่า
หากอ้างอิงข้อมูลในอดีตจะพบว่า มักจะมีการเบิกจ่ายงบลงทุนล่าช้าราว 6 เดือน โดยครั้งนี้อาจส่งผลให้ในช่วงระหว่างไตรมาส 4/2568-ไตรมาส 1/2569 ก่อนดีขึ้นในไตรมาส 2/2569 ประเมินผลกระทบต่อ GDP ปี 2568 และ 2569 ดังนี้
1) กรณียุบสภาและเลือกตั้งใหม่ การเบิกจ่ายงบลงทุนจะลดลงต่ำกว่าภาวะปกติราว 30-40% และน่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ราว 0.2%
2) กรณีอุบัติเหตุทางการเมือง (รัฐประหาร) การเบิกจ่ายงบลงทุนจะลดลงต่ำกว่าภาวะปกติ 50-60% และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ราว 0.4%
ทั้งนี้ แม้ขนาดผลกระทบที่ประเมินไว้จะดูจำกัด แต่ความเสี่ยงสำคัญคือความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้เวลาหลายเดือนในการคลี่คลายและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น
ดังนั้น แม้รัฐบาลใหม่อาจเร่งรัดการเบิกจ่ายเพื่อบรรเทาผลกระทบได้ในภายหลัง แต่ประสิทธิผลของการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
สำหรับผลกระทบต่อกำไรตลาดหุ้นไทย ประเมินผลกระทบทางตรงค่อนข้างจำกัด โดยสัดส่วนกำไรกลุ่มเชื่อมโยงก่อสร้าง (วัสดุก่อสร้าง, รับเหมาฯ, ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง) คิดเป็นราว 1.2% ของกำไรปี 2568 แต่สัดส่วนเชื่อมโยงโครงการภาครัฐฯ คิดเป็นราว 0.4% ของกำไรปี 2568
หากงบประมาณล่าช้าราว 6 เดือน ผลกระทบจะขึ้นอยู่กับการชะลอตัวของการเบิกจ่ายงบลงทุน เบื้องต้น อ้างอิงจากการเบิกจ่ายงบในอดีต
1) กรณียุบสภาและเลือกตั้งใหม่: ประเมินการเบิกจ่ายงบลงทุนจะน้อยกว่าช่วงปกติราว 30-40% ประเมินผลกระทบทางตรงต่อกำไรหุ้นน้อยกว่า 0.1%
2) กรณีอุบัติเหตุทางการเมือง: ประเมินการจ่ายงบลงทุนจะน้อยกว่าช่วงปกติราว 50-60% ซึ่งผลกระทบทางตรงยังจำกัดเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม คาดจะมีผลกระทบทางอ้อมจากเม็ดเงินลงทุนที่หายไปซ้ำเติมภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่เดิม ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นการใช้จ่ายและการบริโภคภาคเอกชนในกลุ่มเชื่อมโยงการบริโภคในประเทศกลุ่มอื่นด้วย
ดังนั้นประเมินกำไรของ SET กรณีเลวร้ายอยู่ที่ 73 บาท/หุ้น ถ้าอิงระดับ PER ในช่วงเศรษฐกิจอ่อนแอ มักอยู่ระดับ -0.5 ถึง -1.0SD แต่หากบวกกับความเสี่ยงเสถียรภาพทางการเมืองเพิ่มเติม คาด PER อาจลงไปซื้อขายระดับ -1.0SD ถึง -1.25SD ทำให้ Downside ดัชนี อาจอยู่บริเวณ 980-1,030 จุด
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หากการเมืองในประเทศเกิด OVERHANG และยังไม่มีแนวทางที่แก้ไขชัดเจนเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ อาทิ การปรับ ครม., การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี, การยุบสภา, การรัฐประหาร คาดทำให้งบประมาณปี 2569 ที่ผ่านวาระ 1 ไปแล้วติดขัดและไม่สามารถโหวตพิจารณาวาระ 2-3 ได้ในช่วงวันี่ 13-15 ส.ค.2568
ส่งผลให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน เช่นเดียวกับรัฐบาลยุคคุณเศรษฐา ทวีสิน ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยบ้านเราใช้งบประมาณไปพรางก่อนนานถึง 8 เดือน กดดันการลงทุนภาครัฐหดตัวหนักราว -4.2%YoY ถึง -28%YOY (ยิ่งการใช้งบประมาณล่าช้านานขึ้น ก็ยิ่งกดดันการลงทุนภาครัฐแรง)
นอกจากนี้ หากสถานการณ์การเมืองรุนแรง ลามไปจนถึงเกิดการชุมนุมประท้วง เสี่ยงลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน บวกกับส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยขยายตัวน้อยลงในหลายองค์ประกอบ ทั้งการบริโภค การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐฯ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว
เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่ได้เพียงแต่มีประเด็น TRADE WAR เข้ามากดดันเท่านั้น แต่การเมืองไทยที่ร้อนแรงขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยง DOWNSIDE ต่อ GDP GROWTH ของไทย ในปี 2568-2569 ขยายตัวต่ำกว่าประมาณการที่สำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ไว้เฉลี่ย 1.6%
ในมุมของ BLOOMBERG ประเมินเศรษฐกิจไทยว่าจะโต 2.0%YoY และเมื่อเทียบรายไตรมาส มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะไม่ขยายตัวเลยในไตรมาส 3/2568 ทั้งนี้ หากเสถียรภาพการเมืองไทยยังอ่อนแอ จนสถานการณ์แย่ลง อาจเป็นปัจจัยเข้ามากดดันเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจในครึ่งหลังปี 2568 ซึ่งอาจทำให้ GDP ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (TECHNICALRECESSION) ในที่สุด


