ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยึด 4 ยุทธศาสตร์ฟื้นเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย
ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ "กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" เดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์สร้างความยั่งยืนตลาดทุน ฟื้นความเชื่อมั่นสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย
KEY
POINTS
- ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ "กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" เดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์สร้างความยั่งยืนตลาดทุน
- ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา Thailand Investment Forum 2025 : Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐาน และโพสต์ทูเดย์ ในหัวข้อ "พลิกวิกฤติสู่โอกาส-ยุทธศาสตร์ฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย" ว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว
ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศที่สะสมต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน แต่ในวิกฤติเชื่อว่ามีโอกาส ในปัญหาเชื่อว่าจะสร้างได้ด้วยปัญญา
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงวางแนวทางการขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ 4 ด้าน เชื่อว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกวิกฤติสู่โอกาสและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย ดังนี้คือ
1.การสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกภาคส่วน
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้ามาตรการสำคัญหลายด้านเพื่อสร้างระบบที่ยุติธรรม โปร่งใส และน่าไว้วางใจ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเกณฑ์กำกับการซื้อขาย ทั้ง Short Sell, Uptick Rule, Dynamic Price Band และการขึ้นทะเบียนผู้ใช้ระบบ HFT ซึ่งช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและระบบซื้อขาย
"ในอนาคตหากพบว่าใครทำเน็คเคดชอร์ตในต่างประเทศจะสามารถตรวจสอบได้ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เร่งดำเนินการ"
2.เพิ่มความน่าสนใจตลาดทุน
ตลาดหลักทรัพย์ฯเดินหน้ายกระดับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) วันนี้ ประเทศไทยมี SMEs กว่า 3.25 ล้านราย อยู่ในระบบเศรษฐกิจ และมีกว่า 200,000 บริษัท ที่เสียภาษี ตลท.จะทำอย่างไรที่จะผลักดันบริษัทเหล่านี้มีโอกาสเข้าสู่ตลาดทุนไทย ที่เรียกว่า "New Economy" อีกทั้งส่งเสริม 300 บริษัทของไทยเข้ามาอบรมตลาดทุน
รวมถึงการทำโครงการจั๊มพ์ พลัส เพื่อพัฒนา 50 บริษัทในปี 2569 เป้าประสงค์ให้บริษัทที่จดทะเบียนได้ทำแผนงานความคืบหน้าการลงทุน โดยให้ค่าที่ปรึกษา ค่าส่วนลดที่ปรึกษา รวมถึงออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยการให้นักลงทุนซื้อหุ้นสะสมเองจนเกษียณ ซึ่งต้องคุยกับกระทรวงการคลัง
"ตอนนี้มี 3-4 บริษัทต่างชาติสนใจเข้ามาจดทะเบีนในตลาดหุ้นไทย และ BOI พยายามกำหนดเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์และแก้ไขกฎหมายเรื่องหุ้น 2 ประเภทเพื่อไม่ให้เกิดการโต้แย้งหากเข้ามาจดทะเบียน รวมถึงหนุนการ Spin-off บริษัทต่างๆเข้ามา"
3.ผลักดันกฎหมายต่างๆให้เท่าเทียม
การผลักดันให้เกิดการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกฎหมายที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนผ่านตลาดทุน
รวมถึงแนวทางการรวบรวมและปรับปรุงกฎหมายในลักษณะ Omnibus Law เพื่อคลายข้อจำกัดที่กระจัดกระจายอยู่ในหลายฉบับ เช่น การเปิดทางให้ใช้โครงสร้างหุ้นสองระดับ (Dual-class shares) ซึ่งจะช่วยให้บริษัท SMEs และ Startups ที่มีศักยภาพ สามารถเข้าระดมทุนในตลาดทุนได้ โดยยังคงให้อำนาจกับผู้ก่อตั้งในการกำหนดทิศทางธุรกิจ ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ยังมุ่งผลักดันให้เกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นในการจัดโครงสร้างบริษัท การควบรวมกิจการ และการแยก Spin-off บริษัทในเครือ เพื่อเสริมศักยภาพในการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ควบคู่การทำงานร่วมกับ TDRI และ CMDF ในการจัดทำ Regulatory Guillotine เพื่อกลั่นกรองและปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย และร่วมกับ Thailand Institute of Justice หรือ TIJ ในการจัดหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในกฎหมายตลาดทุน รวมถึงการผลักดันการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจในฐานะพนักงานสอบสวนได้โดยตรง อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของระบบกำกับดูแลตลาดทุนไทยในระยะยาว
4.การขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน
ESG เป็นเรื่องสำคัญไม่อาจเลี่ยงได้ แม้ประธานาธิบดี ทรัมป์จะไม่ให้ความสนใจ แต่บริษัทจดทะเบียนไทยต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องสร้างความน่าสนใจและขับเคลื่อนบริษัทไทยสนใจอย่างยั่งยืน เริ่มจากฝึกอบรม ESG และใช้ ESG ดาต้าแพลตฟอร์มที่ร่วมกับฟุตซี่ในอนาคต
"ทั้ง 4 ยุทธศาสตร์เชื่อว่าจะสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนไทย ความเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความต่อเนื่องจะสำคัญอย่างมาก การปรับปรุงกฎหมายต่างๆถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่ ตลท.พยายามทำแต่ต้องยอมรับว่าไม่สามารถทำแล้วสำเร็จได้ทันที อยากให้มั่นใจว่า ตลท.จะดูแลนักลงทุนให้ดีที่สุด จะควบคุมดูแลพฤติกรรมและบทลงโทษเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดิมๆ แม้ผมไม่สามารถการันตีได้ว่าจะไม่เกิดการฉ้อโกงอีก แต่อยากให้มั่นใจว่า ตลท.จะดูแลและป้องกันอย่างเต็มที่ เราจะใช้ AI เข้ามาเสริมสร้างประสิทธิภาพ ผมเชื่อว่าในวิกฤติมีโอกาส และตลาดหลักทรัพย์ฯจะยืนเคียงข้างนักลงทุน"


