Apple สุดช้ำ! หุ้นร่วงหนักสุดใน 7 นางฟ้า หลังทรัมป์ขู่ขึ้นภาษี 25%
Apple เจ็บหนัก! หุ้นร่วงหนักสุดในกลุ่ม 7 นางฟ้า หลังทรัมป์ขู่ขึ้นภาษี 25% หากไม่ย้ายฐานผลิต iPhone กลับสหรัฐฯ กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน
ข้อมูลจากสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นต้องสั่นสะเทือนเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาขู่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% จากผลิตภัณฑ์ของ Apple หากบริษัทยังคงเดินหน้าผลิต iPhone นอกสหรัฐอเมริกา
ส่งผลให้หุ้น Apple ดิ่งลง 3% ในวันเดียว และเป็นการร่วงติดต่อกัน 8 วันทำการ ซึ่งถือเป็นการลดลงที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2565
แม้ว่าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย 1.7% ก็ตาม
นักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงตั้งข้อสงสัยว่ามาตรการภาษีนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
แต่หากเกิดขึ้นจริง Apple จะต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก ทั้งการแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะกัดกินกำไรและอัตรากำไรของบริษัท
หรือการผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการสินค้าลดลงในเวลาที่ Apple กำลังเผชิญกับการเติบโตที่ชะลอตัวและความท้าทายจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของตนเอง
Haris Khurshid ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของ Karobaar Capital ให้ความเห็นว่า
"ภัยคุกคามนี้อาจมีแรงจูงใจทางการเมือง แต่ตลาดก็ไม่สามารถมองข้ามความเสี่ยงนี้ไปได้"
"วาทศิลป์เรื่องภาษีแบบนี้ แม้จะไม่เกิดขึ้นจริง ก็บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน คุณจะไปบริหารบริษัทมูลค่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีระเบิดทางการค้าแขวนอยู่เหนือหัวได้อย่างไร"
ปัจจุบัน Apple เป็นหุ้นที่มีผลงานแย่ที่สุดในกลุ่ม Magnificent Seven (7 หุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ หรือ 7 หุ้นนางฟ้า) ในปีนี้
โดยราคาหุ้นลดลงถึง 21% ในปี 2568 สวนทางกับการปรับตัวขึ้น 1% ของดัชนี Nasdaq 100 อย่างสิ้นเชิง
หุ้นได้หลุดแนวรับสำคัญหลายจุด แม้จะยังไม่ถึงจุดที่บ่งชี้ว่ามีการขายมากเกินไปตามดัชนี RSI 14 วัน ขณะที่ดัชนี CBOE Apple VIX ซึ่งใช้วัดความผันผวนของราคาหุ้นในอนาคต ก็พุ่งขึ้นกว่า 30% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย? การเมืองป่วนตลาดหุ้น Apple
ในอดีต หุ้น Apple เคยเผชิญกับความผันผวนจากประเด็นทางการเมืองและภาษีมาแล้ว
แต่การร่วงลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นรุนแรงน้อยกว่าตอนที่ทรัมป์ประกาศเรื่องภาษีครั้งแรกในเดือนเมษายน
ซึ่งตอนนั้นหุ้น Apple เจอกับความผันผวนอย่างหนัก รวมถึงการลดลงสี่วันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543
ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์เองก็เคยผ่อนปรนมาตรการภาษีที่รุนแรงหลายอย่าง
โดยเฉพาะการยกเว้นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำคัญๆ อย่างสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ออกจากมาตรการภาษีตอบโต้
ขณะที่สหรัฐฯ และจีนก็เคยตกลงที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าของกันและกันเป็นการชั่วคราว
Matt Stucky ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนหุ้นของ Northwestern Mutual Wealth Management กล่าวว่า
"นักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะประหลาดใจถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง" เขายังเสริมว่า หากนักลงทุนเชื่อว่าอัตราภาษี 25% จะถูกบังคับใช้จริง นักลงทุนน่าจะเทขายหุ้นลงไปมากกว่านี้อีก
สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่าทีของทรัมป์เองก็เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว เมื่อวันศุกร์ หลังจากที่เขาโจมตี Apple ผ่านโซเชียลมีเดียได้ไม่กี่ชั่วโมง เขาก็กลับลำมาบอกว่าภาษี 25% จะใช้กับสมาร์ทโฟนทุกรุ่นที่ผลิตในต่างประเทศ
ซึ่งนักวิเคราะห์อย่าง Samik Chatterjee จาก JPMorgan กลับมองว่านี่อาจเป็นผลดีต่อ Apple เพราะหากคู่แข่งทุกรายในอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับอุปสรรคเดียวกัน
"อำนาจในการกำหนดราคาของ Apple ทั้งกับผู้บริโภคและซัพพลายเออร์จะทำให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แทนที่จะเสียเปรียบ"
Apple กลืนไม่เข้า คายไม่ออก
แม้จะมีข้อดี แต่สถานการณ์นี้ก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับ Apple เพราะมีทางเลือกน้อยที่จะทำให้ทรัมป์พอใจ
แนวคิดที่จะผลิต iPhone ในประเทศทั้งหมดนั้นเป็นเหมือน "นิทานที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง" ตามความเห็นของ Daniel Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush
เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานของ Apple นั้นซับซ้อนมาก ตั้งแต่วัตถุดิบ การประกอบ แรงงาน และเครื่องจักร
Bloomberg Intelligence ประมาณการว่าต้องใช้เวลาหลายไตรมาสในการย้ายฐานการประกอบ iPhone มายังสหรัฐฯ
และเมื่อเดือนที่แล้ว Bank of America ก็คำนวณว่า ต้นทุน iPhone อาจเพิ่มขึ้นถึง 90% หรือมากกว่านั้น หากผลิตในสหรัฐฯ จริง
มีข่าวลือว่า Apple กำลังพิจารณาปรับขึ้นราคาอยู่แล้ว แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ดูเหมือนว่าเกี่ยวข้องกับภาษี เนื่องจากทรัมป์เองก็เคยโจมตีบริษัทที่ขึ้นราคาเพราะมาตรการภาษีมาแล้ว
Aaron Rakers นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo Securities ไม่เชื่อว่ามาตรการภาษีจะเกิดขึ้นจริง แต่กล่าวว่า Apple จะต้องขึ้นราคา 250-300 ดอลลาร์ต่อ iPhone 1 เครื่องเพื่อรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้
ส่วน Daniel Ives จาก Wedbush คาดว่า iPhone อาจมีราคาสูงถึง 3,500 ดอลลาร์ หากผลิตในสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์หลายคนได้ปรับลดประมาณการกำไรของ Apple ลงเนื่องจากความไม่แน่นอนดังกล่าว
โดยประมาณการกำไรสุทธิของ Apple ในปี 2569 โดยเฉลี่ยลดลง 5.1% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ประมาณการรายได้ลดลง 3.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน
การปรับลดประมาณการนี้จะส่งผลให้ราคาหุ้นดูแพงขึ้น เพราะจะทำให้ตัวหารในอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E ratio) ลดลง
ปัจจุบัน Apple ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 26 เท่าของประมาณการกำไร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี และสูงกว่าคู่แข่งรายใหญ่ที่คาดว่าจะเติบโตเร็วกว่า
การที่ P/E สูงขึ้นแต่การเติบโตช้าลง บ่งชี้ถึงสถานการณ์ที่ท้าทาย แม้จะยังไม่รวมเรื่องภาษีก็ตาม


